“ในการมาเยี่ยมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ทุกครั้ง ก็เป็นโอกาสที่มาเยี่ยมต้นนนทรีที่ได้ปลูกไว้เมื่อ 6 ปีมาแล้ว และวันนี้ก็เป็นวันที่ตรงกับวันที่ปลูกเมื่อ 2506 คือวันที่ 29 ซึ่งนับว่าเป็นวันมหัศจรรย์ และเมื่อมาดูปีนี้ก็มีความชื่นชมที่ได้เห็นว่าต้นนนทรีมีความเติบโตขึ้นอย่างดีมาก ไม่เหมือนกับปีที่แล้ว ปีทีแล้วมีหนอนบ่อนไส้ มีการตีกัน--อ้า ไม่ใช่--(เสียงฮา) มีตัวมาเบียดเบียนต้นนนทรีทำให้ต้นนนทรีเจริญเติบโตไม่ได้งามปีนี้อาจเป็นเพราะว่า มีความสามัคคีดีขึ้นและเอาใจใส่ดีขึ้น จึงเติบโตดีไม่มีอะไรมาเบียดเบียน เคยมาบอกแล้วว่าต้นไม้และคนมีความคล้ายคลึงกัน ต้องทะนุบำรุง ต้องเอาใจใส่ จึงจะเติบโตได้ดี เมื่อมาปลูกต้นนนทรีนั้น ก็ถือว่าต้นนนทรีนั้นเป็นน้องใหม่ แต่เด...ี๋ยวนี้ต้นนนทรีนั้นอยู่มา 6 ปี แล้วก็ยังไม่ออกจากมหาวิทยาลัย ซึ่งไม่คล้ายคลึงกับคนคนที่เข้ามาปี1 ก็หวังว่าปีต่อไปจะเป็นปี2 ปี3 ปี4 แล้วก็เมื่อมีหลักสูตรปี 5 ก็ปี5 เมื่อถึงเวลาก็หวังว่าจะได้ออกจากมหาวิทยาลัยโดยได้รับปริญญาไป และไปปฏิบัติหน้าที่ของตนได้ตามจุดประสงค์ที่ได้วางเอาไว้ตั้งแต่ต้น ตอนที่ได้เข้ามาเรียนในสถาบันอันมีเกียรตินี้ แต่ต้นไม้ก็อยู่กับที่นี่ มีความแตกต่างหนึ่งอย่างแล้ว ความแตกต่างก็ยังมีอีกมากมาย ต้นไม้ ถ้าใส่ปุ๋ยให้ดีก็เติบโตดี คนถ้าใส่ปุ๋ยก็กลิ่นไม่ค่อยดี อันนี้ก็เป็นความแตกต่างซึ่งต้องเข้าใจ ในการรับน้องใหม่ก็ได้ทราบว่าใส่ปุ๋ยกัน เป็นสิ่งที่เข้าใจยากเหมือนกันว่าทำไมใส่ปุ๋ยคนกันอย่างนี้การใส่ปุ๋ยคนอาจเป็นการสอนให้น้องใหม่สามารถที่จะทนกลิ่นอันโสโครกก็ได้ก็อาจมีเหตุผลที่จะใส่ปุ๋ยเช่นนั้นกับน้องใหม่ แต่ว่าถ้ามาพิจารณาดูโดยแท้จริงแล้ว การใสปุ๋ยเช่นนั้น ผลที่จะได้และผลที่จะเสียอาจไม่สมดุลกัน การใส่ปุ๋ย ฝึกฝนให้มีความแข็งแรงอดทนในทางจิตใจ แต่ว่าเกิดอันตรายได้หลายอย่าง เป็นความลำบากยากเย็นและความเดือดร้อนอย่างยิ่งแก่ผู้ที่ได้โดนใส่ปุ๋ย เราจึงต้องมาพิจารณาว่าผลได้ผลเสียจะเป็นอย่างไร ถ้าอ้างว่าทำพิธีรับน้องใหม่เช่นนั้นสำหรับความสามัคคี ก็อาจทำให้แตกสามัคคีได้เหมือนกัน และผลร้ายก็อาจเกิดขึ้น นอกจากนั้นใส่ปุ๋ยเช่นนั้นอาจเกิดโรคได้ ซึ่งจะต้องเสียเงินเสียทองเสียเวลาแล้วก็เสียอนามัยไปได้อย่างไม่ใช่น้อย ต้องขอให้องค์การนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้พิจารณาว่า กิจการใดที่ทำในการต่างๆ โดยเฉพาะในการรับน้องใหม่นี่น่ะ มีเหตุผลและจะเป็นผลดีร้ายแค่ไหน และต้องให้ทุกคนได้เห็นเหตุผลนั้น ไม่ใช่ว่าสักแต่จะให้น้องใหม่กลัวพี่รุ่นเก่าเท่านั้นเอง เข้าใจแล้วว่า การที่จะให้น้องใหม่มีความเกรงกลัวรุ่นพี่นั้นเป็นการดี เพราะว่ารุ่นพี่เขาอยู่มาก่อน เขารู้ขนบธรรมเนียมของมหาวิทยาลัย เขามีอายุมากกว่าเป็นส่วนมาก และเขามีความรู้มากว่า จึงสมควรที่จะให้น้องใหม่เข้ามาแล้วเคารพนับถือพี่ ซึ่งเป็นของที่นับว่าดีมาก แต่วิธีการที่จะทำให้ตอกใส่หัวแก่น้องใหม่อาจต้องพิจารณาดูให้ดี มีข่าวว่าการที่มีพิธีอะไรต่างๆ นี้ทำให้น้องใหม่ไม่สามารถที่จะเรียนได้ก็เป็นอันหนึ่งที่ได้รับคำบอกเล่าว่าเป็นผลร้ายอย่างหนึ่ง ผลร้ายนั้นก็สงสัยเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเราทำอย่างมีเหตุมีผล ไม่ใช่ว่ารับน้องใหม่เป็นเวลาแรมเดือน ก็อาจไม่เป็นเหตุผลที่เพียงพอที่จะบอกว่าพิธีเลี้ยงรับน้องใหม่นี้จะทำให้เสียหาย แล้วก็ได้ดูตามผลการสอบของผู้ที่เป็นนิสิตปีที่ 1 ว่า ผลนั้นตกลงไปหรือเปล่าจากที่เข้ามา เวลาสอบทำให้เสียคะแนนไปหรือเปล่า ก็ได้พิจารณาดูตามบัญชีแล้วปรากฏว่าผู้ที่สอบไล่ได้เขาได้คะแนนสูง หมายความว่า คนที่เขาสามารถเรียนและมีความตั้งใจเรียนตั้งแต่ต้นคะแนนไม่ค่อยตก มีหลักฐานอยู่ในแฟ้มนี่ซึ่งเอามาแล้ว ก็ไม่อยากที่จะอ่านให้ฟังเพราะว่าเดี๋ยวจะเสียใจกัน แต่มีผลว่าผู้ที่มีนิสัยขี้เกียจตั้งแต่ต้นแล้ว ขี้เกียจต่อก็มีเหมือนกัน แต่ก็แน่นอนที่มีคนที่ขี้เกียจ เข้ามหาวิทยาลัยแล้วเกิดความตั้งใจมุมานะขึ้นมา ก็ทำให้พัฒนาตัวเองขึ้นได้ อันนี้ก็เป็นสิ่งที่เป็นของธรรมดา จึงไม่ได้เป็นผล ไม่ได้เป็นการตอบปัญหาในการอ่านผลการศึกษาของนิสิตปี 1 ว่าการรับน้องใหม่นี้ทำให้ผลการเรียนเสียหรือไม่เสีย ตกลงยุติไม่ได้ว่าพิธีรับน้องใหม่ทำให้การเรียนเสียหรือเปล่า แต่มีที่แน่นอนว่าวิธีการต่างๆ ของการกระทำในมหาวิทยาลัยก็อาจเป็นผลเสียได้ต่อส่วนรวม ต่อชื่อเสียงของมหาวิทยาลัย จึงน่าจะมาพิจารณาแก้ไขให้รอบคอบ ตามที่หัวหน้าของท่านทั้งหลายที่ท่านตั้งใจเอาไว้เป็นหัวหน้าได้รายงานเมื่อกี้ ฟังก็ไม่ค่อยถนัด เพราะไมโครโฟนไม่ค่อยดัง แต่เข้าใจว่าเขาได้ปฏิบัติกิจการต่างๆ ตลอดเวลามาเพื่อความดีของมหาวิทยาลัย เพื่อความสามัคคีในหมู่นิสิตทั้งหลาย เพื่อความก้าวหน้า และเพื่อช่วยเหลือประเทศชาติ ตั้งแต่เป็นนักศึกษา ซึ่งเป็นการดีที่สุด และเป็นปณิธานที่ต้องบอกว่ายอดดี ยอดที่ตั้งใจที่จะทำตั้งแต่เมื่อศึกษาอยู่ ดังเช่นที่เพื่อนๆ จำนวนกว่าสองร้อยคนไปปฏิบัติการอยู่ในจังหวัดที่น้ำท่วม และเมื่อวานซืนนี้มารับอบรมหรือชี้แจงในหอประชุมนี้ และเมื่อวานนี้ก็ออกเดินทางไป เมื่อวานนี้ไปถึงก็เข้าปฏิบัติการเลยทีเดียว ซึ่งก็ได้รับข่าวการปฏิบัติมา โดยตรง มีอยู่ในแฟ้มนี่เหมือนกัน และวันนี้ก็กำลังปฏิบัติอยู่ด้วยความเข้มแข็งที่จังหวัดราชบุรี เพชรบุรีประจวบคีรีขันธ์ร่วมมือกับมูลนิธิราชประชานุเคราะห์และสภากาชาดไทย รวมทั้งเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ทหาร ตำรวจพลเรือน ได้ช่วยกันบรรเทาทุกข์แก่ผู้ประสบอุทกภัย วิธีการที่นิสิตเกษตรศาสตร์ได้ออกไปปฏิบัติงานเพื่อส่วนรวมนั้นเป็นการดีที่สุด ก็เมื่อวานซืนนี้ได้มาชมเชยเขา และบอกเขาว่าตัวผู้ที่ออกไปนั้นจะได้กำไรเอง เพราะจะได้ความพอใจว่าได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และจะได้ความรู้แก่ตัวเองเพราะว่าได้ออกไปปฏิบัติในท้องที่ ในที่ที่เขาต้องการจริงๆ ในสภาพที่เป็นจริง ถ้าเรียนในมหาวิทยาลัยก็อาจเรียนเป็นทฤษฎี หรือแม้แต่ในการปฏิบัติก็ปฏิบัติตามปรกติคือนำเอาทฤษฎีมาปฏิบัติและถ้าหากว่าการปฏิบัตินั้นเกิดมีความบกพร่องบ้าง ก็หาทางแก้ไขด้วยทฤษฎีที่ออกไปคราวนี้ การปฏิบัติไม่ใช่ตามทฤษฎีแท้ เพราะว่าไปอยู่ในที่ที่สถานการณ์ผิดปรกติคือถูกอุทกภัย และคราวนี้อุทกภัยเป็นอุทกภัยที่นับว่าร้ายแรงพอใช้ และเป็นอุทกภัยที่มีขึ้นเพียง 50 ปีต่อครั้งหนึ่ง ประชาชนทั้งหลายที่อยู่ในบริเวณแถวนั้นจึงไม่ทราบว่าจะป้องกันตัวอย่างไร เมื่อน้ำพัดไปแล้วก็ต้องพยายามสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ ฉะนั้นการที่นิสิตออกไปปฏิบัติการ ก็เป็นการช่วยให้เขาสร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ในสถานการณ์ที่เรียกว่าแย่ที่สุด ลำบากที่สุดการที่ปฏิบัติในคราวนี้ เมื่อวานนี้และวันนี้และจะปฏิบัติอีกพรุ่งนี้ก็มีการช่วยซ่อมสร้างทาง ซ่อมบ้าน และอธิบายวิธีปลูกพืชต่างๆ ให้แก่ชาวบ้าน เพื่อให้ชาวบ้านเหล่านั้นมีความรู้เพิ่มขึ้น และให้สามารถที่จะตั้งตัวได้การปฏิบัติจึงเป็นการปฏิบัติที่กว้างขวาง และผู้ที่ได้ปฏิบัติจะได้รับความรู้อย่างยิ่ง เพราะว่าเป็นชีวิตจริงดังนี้วิธีออกไปช่วย ไปทำของเหล่านิสิต เป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด และเป็นดำริที่ดีที่สุด เป็นที่น่าชื่นชมที่สุด กิจกรรมตามที่ได้รายงานมาว่าทำมาตลอดปีนอกจากเรื่องอุทกภัยนี้ก็เป็นกิจกรรมทั้งในด้านส่วนรวมทั้งในด้านการกีฬาของมหาวิทยาลัยและในด้านสังคม ถ้ามาพูดถึงสังคมก็ต้องอ้อมแอ้มนิดหน่อย เพราะไม่ทราบว่ากิจกรรมขององค์การนิสิตนี้มีมาก อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้การเรียนไม่ค่อยดีก็ได้ จึงต้องให้พิจารณาให้ดีว่ากิจกรรมนั้นอย่าให้มันมีมากมายเกินไป จะทำให้ผิดจุดประสงค์ของการมาเรียนในมหาวิทยาลัย การมาเรียนในมหาวิทยาลัยก็คือมาหาความรู้ เพื่อที่จะไปปฏิบัติงานต่อไปได้ไม่ใช่เพื่อจะมาหาแฟนหรือมาเดินเล่น ถ้าจะไปหานอกเหนือจากการเรียน ก็รู้สึกว่ามีคนอื่นที่จะต้องการทราบมากกว่า ต้องการมีโอกาสมาเรียนบ้าง (ต่อจากนั้นเป็นการเลือกตั้งโฆษก และรายการดนตรี) ขอขอบใจทุกคนที่ได้จัดรายการมาสมทบฟัง แล้วก็ฝากขอบใจกับนิสิตที่ได้ออกไปปฏิบัติการ ทำให้เราในหอประชุมนี้มีความสนุกสนานและพอใจ อิ่มเอิบใจได้เหมือนกัน เป็นผู้ที่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง ขอให้ทุกคนที่ได้พยายามปฏิบัติการบำเพ็ญประโยชน์ ประพฤติตนให้ดีขอให้ทุกคนจงประสบแต่ความเจริญรุ่งเรือง มีความสำเร็จ ในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ”อ่านต่อ
Identifier (URI) |
https://lib.su.ac.th/royal-voices/resource/ce1c04d9-ba1a-4285-9ab8-377cccc52f0d |
Title |
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เนื่องในวันทรงดนตรี ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พุทธศักราช 2512 |
Subject |
|
Description |
|
Contributor |
หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์, ชุดหนังสือประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช 2493 - 2548 |
Publisher |
|
Creator |
|
Date |
1969-11-29 |
Source |
|
Language |
th-TH |
Coverage |
|
Rights |
|
Relation |
|
Type |
Sound |
Format |
audio/mpeg |
Export |