พระบรมราโชวาท ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมวิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตร พุทธศักราช 2513



“เมื่อ 364 วันที่แล้วมา ได้พบกับผู้ที่อยู่ในสังกัดวิทยาลัยการศึกษา อาจารย์ และผู้ที่สนใจในกิจการศึกษา อยากทราบว่าผู้ใดบ้างที่ปีที่แล้วได้อยู่ในที่นี้ ให้ผู้ที่เคยอยู่ในที่นี้เมื่อ 364 วันก่อนนั่งลงก่อน คนไหนที่ยังเป็นน้องใหม่ ยังไม่นั่ง..... เป็นอันเห็นได้ว่าปีนี้มีน้องใหม่มากมาย แล้วก็มีผู้ที่เคยมาปีที่แล้วไม่ได้มาในปีนี้เหมือนกันเช่น ช่องโหว่ที่เห็นในวงดนตรีนี้ก็เห็นได้ บัดนี้ให้พวกที่เป็นน้องใหม่ในที่ประชุมนี้นั่งลงได้ เมื่อปีที่แล้วทราบว่ามากันจำนวนมาก แต่ปีนี้รู้สึกว่าจะมีจำนวนมากขึ้นอีก เป็นเพราะเหตุว่ามีวิทยาลัยการศึกษาเปิดขึ้นใหม่เพิ่มขึ้นอีกสองแห่ง และอาจมีโฆษณาที่ดีขึ้น คือทราบกันทั่วถึง แต่มีอย่างหนึ่งที่แปลกประหลาดคือ การโฆษณาจะดี...ขึ้นหรือไม่ดีขึ้นก็ตาม รู้สึกว่ามีเหตุการณ์ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่ดีขึ้น เพราะท่านรัฐมนตรีไม่อยู่ ปีที่แล้วรัฐมนตรีมาต้อนรับ ก็ได้ชมท่านว่าท่านเป็นคนที่ดี ที่พิเศษ แล้วโฆษกผู้ที่มาโต้กันเมื่อปีที่แล้วและปีนี้ก็มาเหมือนกัน ไปพูดบอกว่า ท่านรัฐมนตรีรับสั่งว่าท่านรัฐมนตรีเป็นผู้วิเศษ ในปีนี้แสดงให้เห็นแน่ชัดว่าท่านไม่ใช่ผู้วิเศษ ถ้าท่านเป็นผู้วิเศษแล้ว ท่านต้องมีญาณวิเศษที่จะทราบว่าวันนี้จะมีการประชุมวิสามัญประจำปี ก็ท่านไม่ทราบ ท่านจึงต้องไปประชุมของท่านทางอีสาน และท่านจะกลับมาในวันที่ 17 ซึ่งพ้นเวลาประชุมวิสามัญในครั้งนี้ การที่บอกว่าปีที่แล้วมีการทะเลาะเบาะแว้งนิดหน่อยกับโฆษกเรื่องคำพูดนั้นเพราะพูดว่าท่านเป็นคนพิเศษกลับไปบอกว่าท่านเป็นผู้วิเศษ เป็นการบิดเบือนอย่างแน่ชัด อันนี้น่ะฝากไว้ก่อน (เสียงฮา....ปรบมือ) ที่พูดว่าฝากไว้ก่อนนี้ มีวิทยุอะไรในหัวมาบอกว่ามีคนมากระซิบ ไม่ใช่ตัวเอง มีคนมาบอกว่าเสียงดังขึ้นในสมองว่าฝากเอาไว้ก่อน คงมาจากข้างหลังนี้ แต่ว่าที่พูดอย่างนี้ขอย้ำอีกทีว่า คำพูดของคนนี้น่ะพูดออกไปแล้วมันบินไป อาจไปถูกดัดแปลงก็เป็นได้ การดัดแปลงในคำพูดเมื่อปีที่แล้วได้บรรยายเป็นเวลา 1 ชั่วโมงกว่าว่าบิดเบือนไปอย่างไร โดยเฉพาะทางหนังสือพิมพ์ก็ได้บอกว่า ความผิดอาจไม่ได้อยู่ที่คนหนึ่งคนใด แต่อยู่ตั้งแต่พูด คือตั้งแต่คำพูดออกมาจากปากของผู้พูด ผ่านเข้าไปในอากาศ ผ่านเครื่องไฟฟ้า จนกระทั่งออกมาโผล่อีกข้าง ออกมาทางลำโพง และผ่านอากาศอีกทีเข้าไปในหูของคนที่ฟัง นั่นน่ะ จากปากผู้พูดถึงหูผู้ฟัง ได้ผ่านอะไรหลาย อย่างแล้ว ขนาดนั้นก็อาจมีการบิดเบือนได้บ้าง ดังเช่นในขณะนี้พูดแล้ว เสียงพูดนั่นน่ะไม่มีเสียงวี๊ดๆ แต่ว่าทำไม เวลาเราได้ยินจากเครื่องขยายเสียงจึงมีเสียงที่ไม่ได้พูดออกมา ก็มีการบิดเบือนอยู่แล้ว ในความหมาย ก็มีการบิดเบือนได้เหมือนกัน ต่อจากนั้นไปผู้ฟังก็ต้องเข้าหูผู้ฟังเขา แล้วก็เข้าสมอง เมื่อเป็นนักเขียนหนังสือพิมพ์ก็เขียนจดลงไป จดทันบ้าง ไม่ทันบ้าง หูดับบ้าง ก็เลยทำให้การเขียนรายงานนั้นอาจไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ อาจตกคำหนึ่งและอาจเป็นคำสำคัญไปได้บ้างเหมือนกัน ต่อจากนั้นถ้าเขียนดีเรียนร้อยแล้วเมื่อกลับไปบ้านหรือกลับไปสำนักงาน ไปเขียนหรือเรียบเรียงข่าว ก็ต้องเขียนให้เข้าเรื่องเข้าราว แล้วก็ต้องไม่ให้ยาวเกินหน้าหนังสือพิมพ์ เพราะกระดาษมันแพง ถ้าเกินหน้าหนังสือพิมพ์อาจต้องทำฉบับพิเศษ หรือต้องลงหลายฉบับดังที่บางฉบับเขาทำ ซึ่งลำบากแก่การเขียน ก็ต้องตัดทอนบ้าง อาจไปตัดทอนตรงคำที่สำคัญ หรือแม้จะไม่สำคัญก็ทำให้ความหมายนั้นเปลี่ยนแปลงไปหมดก็ได้ นั้นก็เป็นเหตุผลต่อไป ต่อไปก็อาจมีเหตุอีกมากมายคืออาจจะเป็นที่พูดปีที่แล้ว อาจเป็นผู้ที่ไม่ได้มาฟังในสำนักงานหนังสือพิมพ์ก็ต้องมาดัดแปลงและทำให้ความหมายเปลี่ยนเพี้ยนไปอีก อาจจะมีนโยบายแปลก็ได้หรืออีกอย่างต่อไป ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เหมือนกัน การบิดเบือนอาจไม่ใช่ด้วยความตั้งใจก็ได้ หรือด้วยความตั้งใจก็เป็นไปได้ จึงได้ขอออกตัวตั้งแต่แรกว่า ที่พูดนี้ขอให้เข้าใจด้วยความเมตตา มิฉะนั้นเดี๋ยวเกิดเรื่องอีก จะเข้าใจผิดทะเลาะกันอีกและจะไม่เป็นมงคล ในกำหนดการปีที่แล้ว เมื่อเสร็จรายการแล้วก็มีการร้องเพลง ร้องเพลงราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น ในกำหนดการปีนี้บอกว่าร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีแล้วร้องเพลงราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น ไม่ยักได้ยิน อาจเป็นเพราะว่ามีการเปลี่ยนแปลงโปรแกรมอย่างอื่น เพราะว่าปีที่แล้วพอลุกขึ้นจะกลับบ้าน ก็ร้องราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น แล้วไม่ยอมจบ เลยทำให้กำหนดการซึ่งก็ไม่มีกำหนดได้ล่าช้าตามไป นี่ เวลาเขามีไว้ เวลา 16.30 มาถึง แล้วทีหลังก็ ขีดๆหมายความว่าแล้วแต่จะโปรด (ปรบมือ) ก็หมายความว่า ปีนี้น่ะ กำหนดการและรายการก็เหมือนปีที่แล้ว ไม่ทราบว่าจะเริ่มรายการเมื่อไร ไม่ทราบว่าจะจบรายการเมื่อไร ไม่ทราบว่าจะมีการโต้วาทีกันเมื่อไร และไม่ทราบว่าจะได้เรื่องหรือไม่มาวันนี้ก็ตั้งใจจะมาวิสัชนาเรื่อง “ความดัง” คือว่าไปมาหลายแห่งแล้ว แล้วเมื่อวันเสาร์ที่แล้วก็พูดถึงความดังในทางที่อยากดังหรือไม่อยากดัง รู้สึกว่ามีความเข้าใจผิดไปบ้าง อยากดังนี่น่ะมีความสำคัญ เพราะว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องปัญหาของเยาวชนมิใช่น้อย ปัญหาเยาวชนนั้นมีหลายคนบอกว่ามาจากคนอยากดัง จึงทำอะไรที่แผลงๆ แปลกๆ แต่ว่าลงท้ายที่ได้พูดเอาไว้ บางคนก็เข้าใจว่ามาจากนักศึกษา นิสิตในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยต่างๆ ในเมืองไทยอยากดังหามิได้ เรื่องอยากดังนั้น ทุกคนก็อยากดัง อยากมีชื่อเสียง อยากทำอะไรที่ทำให้คนรับนับถือว่าทำอะไรที่เด่นที่ดี เด่นแน่แต่ไม่ทราบว่าจะดีหรือไม่ดี ที่พูดที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว บอกว่าถ้าอยากดังขอให้พิจารณาก่อนว่าจะดังอย่างไร และเมื่อพิจารณารอบคอบแล้วว่าทำอะไรทำลงไปแล้วจะดัง ดังนั้นก็จะเป็นเสียงไพเราะ ที่พูดอย่างนี้ก็เป็นการสรุปความหมายของความอยากดัง แต่ว่ามีบางคนไม่เข้าใจ เลยเข้าใจไปว่าคนโน้นอยากดัง คนนี้อยากดัง ที่พูดเป็นการพูดบอกว่า อยากดังนี้มีอยากดังในทางที่ถูกและในทางที่ไม่ถูก ในที่นี้จะไม่ขยายความแต่ว่าถ้าโฆษกสงสัย ให้ท่านโฆษกมาถาม และจะมีการอภิปรายเรื่องอยากดัง ดีกว่าที่จะมาวิสัชนาเรื่อง “อยากดัง” เพราะว่าถ้ามาอภิปรายก็จะมีคำถามหรือมีการโต้กันบ้างก็ได้ เราจะได้ทราบว่าเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ทีนี้ถึงตอนที่จะบอกว่าขอฝากเอาไว้ก่อนเรื่องอยากดัง ถ้าโฆษกสนใจ ก็ขอให้มีเวลาระหว่างเสียงดนตรีที่จะมาอภิปรายเรื่องอยากดังบ้างมีเรื่องอื่นเหมือนกัน เกี่ยวข้องกับความเข้าใจ และเกี่ยวข้องกับปัญหาเยาวชนหรือปัญหาสังคมในปัจจุบัน ในปัจจุบันนี้ก็บอกได้ว่ามีปัญหาเยาวชน คือว่ามีผู้ที่เยาว์และทำความวุ่นวายให้แก่สังคม ทำไมเป็นเช่นนั้น และจะแก้อย่างไร เรื่องอยากดังเอาไว้พูดกันเวลาสนทนากับโฆษก แต่เรื่องวิธีการที่จะทำให้สังคมมีความเรียบร้อย ไม่มีอันธพาล จะต้องนึกถึงความเห็นหรือวิธีการที่เราทำกันในไทยแตกต่างกับที่เราเห็นเขาทำในต่างประเทศ หลักการก็มีความแตกต่างอยู่มาก ผู้ที่ไปศึกษาต่างประเทศก็ไปเอาหลักการของต่างประเทศมาใช้ ซึ่งบางทีก็ไม่ถูก อย่างเช่นทุกคนที่อยู่ในที่นี้ก็เกี่ยวข้องกับการศึกษา ก็คงเข้าใจดีว่าการที่จะสอนเด็กในโรงเรียนให้มีความประพฤติดี ให้มีความรู้ดีนั้น “ต้องสอน” ไม่ใช่ให้เด็กสอน คือถ้าให้เด็กสอน ก็ไม่เป็นการทำประโยชน์แก่เด็ก แก่เยาวชนของชาติ หรือจะว่าได้ว่าแก่ชาติบ้านเมืองโดยตรง ถ้าเข้าไปสอนในโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาใดๆ และให้เด็กมาสอนเรา ก็รู้สึกว่าผิดจุดประสงค์ของการตั้งวิทยาลัยการศึกษา ป่วยการที่ให้ท่านทั้งหลาย มาเสียเวลาเรียนเป็นเวลานานปี และเสียเวลาทางราชการที่จะมาสร้างหอประชุมใหญ่โตอย่างนี้ ต้องเข้าใจว่าต้องสอน แต่ในต่างประเทศเขาว่าเด็กต้องออกความเห็น เด็กต้องแสดงตัวเป็นตัวของตัวเองมาก โดยที่เด็กเองก็ไม่ทราบว่าตัวของตัวเองเป็นอย่างไร อันนี้แบบเก่าของเราคืออาจารย์สอนเด็ก อาจารย์หรือครูสอนเด็กให้มีความรู้เด็กก็รับ น้อมรับความรู้นั้นด้วยความเคารพ อันนี้ต่างประเทศเขาบอกว่าการทำเช่นนี้เป็นการกดหัวกัน เป็นการไม่ถูกต้อง และเด็ก หมายถึงเป็นเด็กที่หัวอ่อนจะเป็นเด็กที่ไม่ฉลาด ตามความคิดแบบเก่า เด็กฉลาดก็คือเด็กที่น้อมรับความรู้จากผู้ใหญ่ ก็มีความแตกต่างไม่ใช่น้อยในหลักการและในความเห็นเรื่องจะทำอย่างไรสำหรับให้สังคมมีความเป็นปึกแผ่นและมีความปลอดภัย ไม่มีอันธพาล อันนี้ก็เป็นอีกข้อหนึ่งที่จะขอฝากเอาไว้อภิปรายกับโฆษกต่อไป เพราะว่าไม่อยากที่จะมาพูดมากโดยที่ไม่อาจพูดให้ครบถ้วน และเมื่อพูดไม่ครบถ้วนแล้วก็อาจเข้าใจกันในทางที่ไม่ถูก และจะไม่เป็นประโยชน์ต่อสังคม จะเกิดการทะเลาะวิวาทต่อไปเหมือนกัน จึงขอตั้งข้ออภิปรายกับโฆษกไว้สองข้อ ข้อเรื่องอยากดังหนึ่ง แล้วก็ข้อเรื่องว่าวิธีการที่จะสั่งสอนหรือให้ความรู้แก่เยาวชนผู้ที่เยาว์กว่าในทั้งอายุทั้งความรู้ หัวข้อที่สองนี้ ก็รู้สึกว่าใหญ่โตมาก และเป็นหัวข้อที่อาจเป็นที่น่าสนใจ วันนี้ตามรายการก็บอกว่ามีการให้พร ก็เช่นเดียวกับปีที่แล้ว การให้พรเอาไว้ทีหลังถ้าถือว่าเป็นของดี และถ้าถือว่าเป็นของที่ดีก็เอาทีหลังก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าถือว่าไม่ใช่เป็นของดี ก็ไม่เป็นไร เอาไว้ทีหลังก็ได้ มีพูดเป็นปริศนาด้วยเดียวก็เกิดเรื่องเข้าใจผิดกันอีก แต่ว่าในวันนี้ก็ขอพูดแค่นี้ซึ่งดูจะแพ้ปีที่แล้ว ปีที่แล้วดูนาฬิกาอยู่ตลอดเวลา คอยดูว่าถึงชั่วโมงหรือยังจะได้หยุด แล้วก็ ลงท้ายก็พูดเกินชั่วโมงไปอีกเป็นกอง วันนี้พูดเพียง 20 นาที จะไม่ถึง 20 นาทีด้วยซ้ำก็รู้สึกว่าพอแล้ว เพราะว่าทางวงดนตรีนี้แม้จะเป็นวงที่ไม่ครบก็อยากที่จะแสดง วงดนตรีนี้น่ะไม่ครบ จำนวนก็ไม่ครบ แล้วก็แต่ละคนก็ไม่ครบ อันนี้ได้รับฉันทานุมัติจากนักดนตรีทุกคนในวงดนตรีนี้แล้วที่จะมาแจ้งให้ทราบ แล้วก็ขอให้ทราบว่าคราวนี้ที่มาวิทยาลัยวิชาการศึกษา วงดนตรีนี้ครบกว่าที่อื่นนิดหน่อย ครบกว่าที่ไปมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันเสาร์ที่แล้ว เพราะว่ามีคนที่กลับมาจากเมืองสุย กลับมาโดยความปลอดภัย ก็ยินดี เพราะเป็นห่วงอยู่เหมือนกันว่าไปเมืองสุยแล้วเดี๋ยวก็จะข้ามไปทางโน้นไปฮานอยหรือไปไหนแล้วจะกลับเข้ามาจะมาเป็นผู้ก่อการร้ายในวงดนตรี (เสียงฮา) แต่ว่าขอบอกกับทุกท่าน ทุกคนในนี้ว่า แม้จะมีผู้ก่อการร้ายเข้ามาในวงดนตรีนี้ วงดนตรีนี้ไม่มีทางล้ม เพราะว่าวงดนตรีนี้มีความเป็นปึกแผ่นมาก มีสามัคคีอย่างแน่นแฟ้น และไม่มีทางที่ใครจะทำให้วงดนตรีนี้ล้มได้ เพราะว่าขอเพลงอะไรก็ตามเล่นได้ทั้งนั้น (ปรบมือ) ไม่ใช่แต่ว่าเล่นได้ทั้งนั้น เล่นได้แล้วจะทำให้คนฟังล้มก็ได้ ปีนี้ก็มีของดีๆ แปลกๆ ใหม่ๆ เก่าๆ ก็คอยดูก็แล้วกัน (ต่อจากนั้น เป็นการบรรเลงดนตรี เสร็จการบรรเลงแล้ว โฆษกกราบบังคมทูลขอพระราชทานพรว่า โฆษกรายการนี้เป็นรายการสุดท้ายที่พวกเราจะขอพระราชทานพรจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งพระนางผุสดีขอพระราชทานพรพระอินทร์ก็บอกเจาะจงลงไปเลยว่าขอพระราชทานทศพร 10 ประการ แล้วก็เจาะจงลงไปว่าประการนั้นว่าอย่างนั้นประการนี้ว่าอย่างนี้แต่ว่าตัวโฆษกหญิงนี่ ไม่ทราบว่าใช้กำลังภายในหรือวิปัสนาหรือญาณอะไรไม่ทราบ ทราบว่าไม่โปรดอย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็จะกราบบังคมทูลเชิญเสด็จ ฯ พระราชทานพรแล้ว แต่ที่จะทรงพระกรุณาโปรด ที่เห็นว่าเหมาะสมกับบรรดาผู้ที่มาเฝ้า ฯ อยู่ ณ ที่นี้) (มีพระราชดำรัสตอบว่า) ก่อนอื่นก็ต้องบอกว่าชักกลัว ชักกลัวโฆษกหญิงนี่ เดี๋ยวนี้ดูมองเข้าไปถึงในใจแล้ว แต่ความจริงที่บอกว่าไม่ชอบให้ขออย่างนั้นอย่างนี้ก็แปลว่า อะไรที่อยากได้ ไม่ใช่เพียงแต่จะขอถึงจะได้ เราต้องพยายามทำ พยายามทำงาน หรือ พยายามศึกษาถ้าอยากได้ อย่างทุกคนนี้ส่วนมากก็เป็นนิสิตเป็นนักศึกษาผู้ที่กำลังเรียนและจะสอบไล่ปลายปีก็มี สอบไล่กลางปีก็มี ก็ต้องการให้สอบไล่ได้และให้ได้ดี ถ้าขอพรเช่นนั้นก็จะบอกอย่างที่เคยบอกทุกปีว่า ถ้าใครเรียนดี ศึกษาดีพยายามดีแล้ว ก็ไม่น่ากลัวอะไร ไม่ต้องขอพรก็ได้ อันนี้อาจเป็นเพราะโฆษกหญิงนี้ได้ยินว่าพูดเช่นนี้ จึงบอกว่าไม่ชอบให้ขอพรเจาะจง ก็เป็นความจริงอยู่ส่วนหนึ่งที่ให้พรแก่ผู้ที่กำลังศึกษา ก็ขอให้ได้ศึกษามีผลสำเร็จให้ดี สำหรับผู้ที่ไม่ใช่นักศึกษา ผู้ที่ประกอบกิจการอื่นๆ ก็ต้องให้พรให้กิจการที่เป็นสิ่งที่ชอบธรรม เป็นสิ่งที่เหมาะสม ไม่เบียดเบียนต่อผู้อื่นและต่อส่วนรวมขอให้กิจการเหล่านั้นเป็นผลสำเร็จทั้งนั้น นี่ก็เป็นพรสำหรับผู้ที่เป็นทั้งนักศึกษาด้วย ก็ขอให้มีความสำเร็จในสิ่งที่ควรจะทำและควรจะปรารถนา คือความสำเร็จในการศึกษา ทั้งสำหรับผู้อื่นก็กิจการใดๆ ที่ทำให้มีผลดี แต่ว่าขออย่าให้ลืมว่า พรนั้นจะมีอานุภาพได้ต่อเมื่อปฏิบัติตามที่ควรที่ชอบ เพราะว่าถ้าบอกว่ามาขอพรให้ปล้นทรัพย์เขาได้ ก็คงปล้นทรัพย์ไม่สำเร็จเพราะว่าไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง ทั้งหมดนี้ก็เหมือนกับเรื่องอยากดังเหมือนกัน ถ้าอยากดังแล้วก็พิจารณาให้เรียบร้อยรอบคอบแล้ว ก็จะดังไพเราะแล้ว มีส่วนหนึ่งที่เป็นพรได้แท้ๆ ก็คือ ในการสอบไล่ก็ตาม หรือในกิจการงานต่างๆ ก็ยังมีโชคบ้าง ก็ขอให้โชคดีในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ที่เป็นสิ่งที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่เป็นการสร้างสรรค์และเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและต่อบ้านเมืองเป็นส่วนรวม บ้านเมืองเป็นส่วนรวมนี้เราก็ต้องอาศัยทั้งนั้น จึงเป็นการให้ทุกคนมีความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ.”อ่านต่อ



จำนวนการเข้าชม :  101 ครั้ง

พระสุรเสียงที่มีเนื้อหาคล้ายกัน