กระแสพระราชดำรัส พระราชทานแก่สมาชิกสโมสรไลออนส์ในประเทศไทย ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเป็นประธานในพิธีฉลองการสถาปนาสโมสรครบรอบ 10 ปี ณ โรงแรมนารายณ์กรุงเทพ ฯ พุทธศักราช 2513



“โดยที่วันนี้เป็นวันพิเศษ แม้จะได้ปิดประชุมแล้ว ก็ขอให้ทุกคนนั่งตามระเบียบของไลออนส์ที่นั่งฟังการประชุม ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างมากที่ได้มาร่วมในงานของสโมสรไลออนส์ และขอแสดงความยินดีแก่สโมสรไลออนส์ที่ได้มีอายุถึง 10 ปีแล้ว ความจริง 10 ปีนี้ สำหรับคนนั้นก็นับว่ายังเป็นเด็กมาก แต่สำหรับสิงห์โตก็ถือว่ามีเขี้ยวมีเล็บอย่างน่ากลัวแล้ว (ปรบมือ) ตั้งแต่หัวจนถึงเท้าของไลออนส์ที่ได้แสดงให้ดูอย่างเมื่อกี้นี้ ระหว่างหัวกับเท้าของสิงห์โตนี้มีหัวใจ มีหัวใจที่ดี ทีได้กระทำกิจการต่างๆ ทุกอย่างด้วยจิตใจบริสุทธิ์ และด้วยความที่จะตั้งใจให้บ้านเมือง หรือสังคมที่เราอาศัยอยู่มีความเจริญมีความปลอดภัย และเพื่อให้ทุกคนสามารถแสวงหาความสุขความก้าวหน้า กิจการต่างๆ ของสโ...มสรไลออนส์ก็เป็นประโยชน์ทั้งนั้น มีโครงการพิทักษ์สายตาและการพยาบาล เช่นทำฟันเป็นต้น เรื่องทำฟันนี้ก็คงเป็นเพราะว่าอยากให้ฟันคม แต่ว่าที่มีความสำคัญที่สุดก็คือโครงการเรื่องเยาวชน ซึ่งนับว่าเป็นที่นิยมและเป็นที่ไว้วางใจของต่างประเทศ ดังที่ได้ยินเมื่อกี้ว่าชาวต่างประเทศจะส่งเยาวชนมาดูงานในประเทศไทย ถือว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่ง เพราะคล้ายๆ กับว่าเขาไว้ใจว่าเราปฏิบัติการในทางเยาวชนได้ดีมาก คือทำให้มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย และเยาวชนมีความตั้งใจเป็นคนดีไม่เป็นอันธพาล แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังมีเรื่องที่บกพร่องอีกมากในข้อนี้ สโมสรไลออนส์ของประเทศไทยได้ตั้งหน้าที่ให้ตัวเองอย่างหนักที่สุด ความจริงอยากจะบอกว่า การประชุมเมื่อกี้ก็ทำให้ได้ความรู้มาก และรู้สึกว่ามีความบกพร่องก็มากเหมือนกัน ที่บกพร่องสำคัญทำให้กลัวว่าไลออนส์จะไม่สามารถที่จะปฏิบัติตามโครงการนั้นก็คือรู้สึกว่าล้าสมัยมาก อย่างการประชุมเมื่อกี้นี้ ใครทำอะไรก็โดนปรับ แต่ค่าปรับนั้นรู้สึกว่าไม่สมดุลกับค่าครองชีพปัจจุบันนี้เลย (ปรบมือ) อันนี้ก็เป็นข้อที่สงสัยอย่างยิ่ง ข้อสงสัยอีกอย่างคือการแสดงที่ได้นำมาให้ดูนั้น ต้องอิมปอร์ตมาจากต่างประเทศ เราทำอะไรของเราไม่ได้ แล้วก็ยังมาบอกว่า พระบารมีปกเกล้า ฯ จึงนำการแสดงมาจากต่างประเทศได้ ความจริงสามารถนำมา ไม่ใช่พระบารมีปกเกล้า ฯ พระบารมีปกเกล้า ฯ นั้นอาจตรงข้าม คือไม่มีการแสดงในเมืองไทยจึงต้องสั่งจากต่างประเทศ ถ้าพูดอีกอย่างหนึ่ง ถ้าถือว่าการแสดงเป็นการแสดงที่น่าชื่นชมหรือบางทีก็เพลิดเพลินดี ก็ไม่ขอรับความดี เพราะไม่ใช่พระบารมี เป็นความดีของผู้ที่จัดการที่นั่งอยู่ตรงนั้น (ปรบมือ) ที่บอกว่าคำว่าพระบารมีปกเกล้า ฯ ทำให้ไม่มีการแสดงเช่นนี้ ก็เพราะว่าเมื่อวันสังคีตมงคลก็ไปบอกเขาว่ามีความสงสัยว่า ทำไมผู้ชายพวกนักดนตรีผมยาว และทำไมสตรีกระโปรงสั้นก็เลยทำให้งานของบันเทิงชะงักไปบ้าง ก็เป็นความผิดไม่ใช่พระบารมี กลับมาเรื่องเยาวชน ขณะนี้ก็ทราบกันดีว่าบ่นกันมากว่าเยาวชนยุ่งอย่างโน้นอย่างนี้มีการตั้งตัวเป็นแก๊ง แล้วก็มีการทะเลาะวิวาท ก็เป็นปัญหาใหญ่ ที่เป็นปัญหาใหญ่นั้นเราก็รับว่าเป็นปัญหา เป็นปัญหาใหญ่เพราะเป็น ปัญหาของอนาคตของชาติ ถ้าเยาวชนประพฤติตนเป็นอันธพาล ไม่เรียน มัวแต่ไปซ่องสุมหาความสำราญอย่างง่ายๆ อนาคตของชาตินับว่ามืดมนมาก ได้มีการวิจัย การประชุม การสัมมนาต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ส่วนมากเป็นผู้ใหญ่ที่พบปะกัน ผลของการประชุมสัมมนาต่างๆ ไม่ใช่ผลดี ส่วนมากผลคือการทะเลาะกันระหว่างผู้ใหญ่เพราะแทนที่จะหารากฐานของความบกพร่องหรือปัญหาเยาวชน กลับไปทะเลาะวิวาทกันจะเอาชนะกัน มีความคิดอะไรก็มาบอกว่าอีกคนหนึ่งผิดไม่ใช่มีความคิดมาแล้วเอามาช่วยกันคิดและดูว่า ความคิดของอีกคนหนึ่งนั้นมีความจริงหรือไม่ ถ้ามีความจริงก็จะได้พยายามนำความคิดนั้นมาใช้เพื่อปรับปรุงใหม่ ที่พูดนี้ไม่ได้ว่าพวกไลออนส์ รับรองว่าในใจก็ไม่ว่าไลออนส์ เพราะได้เห็นแล้วว่าไลออนส์ทะเลาะกันไม่เป็น มีผิดอะไรเมื่อปรับแล้วก็หัวเราะกันและร้องเพลงกัน อันนี้เป็นการดี งานของไลออนส์จะได้ผลเพราะไม่ทะเลาะกัน โดยมากในการประชุม มักไม่มีสาระนัก และไม่ได้แก้ปัญหาหรือแก้ปัญหาอย่างผิดจุด เร็วๆ นี้มีการคิดกันว่า เรื่องแก้ไขปัญหาเยาวชน จะต้องลดอายุเด็กที่จะขึ้นศาล จากอายุ 18 ลงมาเป็นอายุ 15 นึกว่าการลดอายุจะทำให้เด็กเข็ดหลาบเพราะเมื่อทำผิดแล้วจะต้องเข้าคุกอย่างผู้ใหญ่ คิดดูดีๆ ว่าการทำเช่นนั้นจะได้ผลหรือไม่ได้แน่ จะต้องได้ผล แต่จะได้ผลร้าย เพราะเด็กอายุ 15 – 18 นั้น เมื่อทำผิดแล้วถูกลงโทษ จะต้องเข้าคุกพร้อมผู้ใหญ่ แทนที่จะเป็นการดัดแปลงแก้ไขความเป็นอันธพาล กลายเป็นการแก้แค้นหรือชดใช้การทำผิด เมื่อมีความคิดดังนั้น และอยู่ร่วมกับอาชญากรผู้ใหญ่ เยาวชนจะกลายเป็นอาชญากรอาชีพไปเลย อีกส่วนหนึ่ง ถ้าขึ้นศาลผู้ใหญ่ จะเรียกร้องสิทธิว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีสิทธิเหมือนผู้ใหญ่ ก็จะเป็นผลร้ายเหมือนกัน เพราะปัจจุบันผู้ใหญ่มีสิทธิถืออาวุธ ถ้าได้รับอนุญาตมีใบอนุญาต ก็ถืออาวุธไปได้ในที่สมควรได้ เยาวชนที่ไม่บรรลุนิติภาวะก็ไม่มีสิทธิโดยปริยาย แต่ถ้าลดอายุมาเป็น 15 ก็เป็นการให้สิทธิโดยอัตโนมัติ ปราบไม่ได้ ตรงข้าม ควรเปลี่ยนกฎหมายให้เข้มงวดและรุนแรงขึ้น เด็กที่ถืออาวุธขณะนี้มีอยู่ทั่วไป ตำรวจทั้งหลายและผู้ฟังวิทยุย่อมทราบ เรื่องเยาวชนมีอาวุธในครอบครองนี้มีไม่เว้นแต่ละวัน อย่างเมื่อวานนี้ ดูเหมือนเวลา 01.30 น. มีแก๊งวัยรุ่นใช้อาวุธทำร้ายผู้ใหญ่ที่ฝั่งธนบุรี เคราะห์ดี บาดเจ็บไม่ถึงตาย เด็กเหล่านี้ ถ้าขึ้นศาลก็ว่าเป็นเด็กเลยไม่ลงโทษ รัฐมนตรียุติธรรมท่านบอกว่าลดอายุลงมาได้ แต่ต้องมีการลดหย่อนโทษเพราะเป็นเด็ก ยิ่งจะทำให้ซ้ำร้ายใหญ่ ขอเสนอว่า เด็กทำผิดฐานมีอาวุธในครอบครอง จะต้องลงโทษสองเท่า การลงโทษ แทนที่จะเข้าคุกขอให้ส่งไปโรงเรียนพิเศษ ถ้าปรากฏว่าเรียนดีวางตัวเป็นคนดี ตั้งใจเป็นพลเมืองดี เมื่ออายุสมควรแก่การเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ให้ปล่อยตัวไป ไม่มีมลทิน ถ้ายังเป็นอันธพาลก็ให้เข้าคุกได้นี่เป็นข้อเสนอ ถ้ามัวแต่ไปหาวิธีที่จะแก้ปัญหาก็เท่ากับไปจับหางสิงห์โตเท่านั้นเอง และความจริงไม่ใช่สิงห์โตเป็นหางเสือที่ร้าย ก็จะทำให้ปัญหาเยาวชนนี้ยิ่งเพิ่มขึ้น สำหรับปัญหาเยาวชนนี้ เราต้องค้นหารากฐาน รากฐานธาตุแท้ที่จะต้องแก้ไขนั้น เมื่อดูแล้วก็อยู่ที่การศึกษา และเมื่อดูสถิติในทางในด้านประชากรและในด้านการศึกษาคือโรงเรียน ครู และจำนวนนักเรียนแล้ว ก็เป็นที่น่าวิตกไม่น้อย วันนี้เอาตัวเลขมาให้ดูต้องขออภัยถ้าตัวเลขนี้น่าเบื่อหน่ายสักหน่อย แต่อยากจะให้ทราบคร่าวๆ ว่าเป็นอย่างไร ในปี 2503 ประเทศไทยมีประชากร 26 ล้านกว่า ใน 26 ล้านนั้น อยู่ในวัยเรียกว่าวัยเยาวชน 16 ล้าน และมีจำนวนที่อยู่ในวัยที่จะต้องเรียน หมายความว่าอายุตั้งแต่ 5 ขวบถึง 19 9,579,000 คน และผู้ใหญ่ที่กำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ คือถึงอายุ 40 มี 5 ล้านคน ไม่สมดุลกัน ที่อยู่กว่า 40 ที่ถือว่าจะแก่แล้วนั้น มีประมาณ 4 ล้านคนคิดดูแล้ว แม้จะบวกคนที่เป็นผู้ใหญ่วัยฉกรรจ์และวัยชราเข้าแล้วก็เป็น 9 ล้านคน ก็ยังน่าวิตก มาถึงปี 2508 พลเมืองขึ้นเป็น 30 ล้าน จำนวนจำแนกเป็นอายุก็ขึ้นไปตามลำดับ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้ที่เป็นเด็กมีมากขึ้น ปี 2513 นี้มีพลเมืองประมาณ 35 ล้าน เกือบ 36 ล้าน และเช่นเดียวกันพลเมืองที่เป็นเยาวชนก็เพิ่มตามลำดับ มาถึง 2518 ทดลองคำนวณได้ว่าจะมีพลเมือง 40 ถึง 42 ล้านคน และก็จำนวนเยาวชนก็จะเพิ่มไปด้วยอย่างมาก ถ้าดูจำนวนเยาวชนเปรียบเทียบอย่างที่บรรยายมาแล้ว รู้สึกว่าเพิ่มขึ้นมากเป็นที่น่าวิตก และเมื่อไปดูสถิติของโรงเรียนและการศึกษาก็จะยิ่งน่าวิตก ได้ทำสถิติเรื่องโรงเรียนต่างๆ นี้ขึ้น 3 ปี คือ 2508, 2513, 2518 ตามที่คาดคะเน สำหรับการศึกษาชั้นอนุบาลนั้นถ้าดูแล้วไม่ได้เพราะว่าเป็นที่น่าวิตกอย่างยิ่ง มาดูชั้นประถมศึกษา ชั้นประถมศึกษานี้ 2508 มีโรงเรียน 25,965 โรงเรียน มีครู 134,675 คน และมีนักเรียนถึง 4,630,424 คน แต่ว่าจำนวนผู้ที่อยู่ในวัยที่จะเรียนมีประมาณ 8 ล้านคน ซึ่งก็ได้เห็นแล้วว่าไม่สมดุล มาถึง 2513 ก็เหมือนกัน ประชากรก็เพิ่มขึ้นไปครูตามไม่ทัน 2518 ก็ยิ่งจะตามไม่ทัน ที่น่าวิตกในชั้นประถมก็เพราะว่า ชั้นประถมต้นกับประถมปลายนี้ไม่สมดุลกันอีก อย่างในปี 2508 นี้ ชั้นประถมต้นมี 4 ล้านกว่า แต่อย่างที่ว่า ชั้นประถมปลายมีเพียงสี่แสนแปดหมื่นกว่าๆอย่างนี้ก็เห็นได้ว่า การศึกษาของเมืองไทย นับเฉลี่ยแล้วก็หยุดอยู่ที่ชั้นประถม 4 ซึ่งก็เป็นที่น่าวิตกสำหรับอนาคตอย่างยิ่ง ถ้ามาดูในชั้นมัธยมศึกษาและชั้นอื่นๆ ที่สูงขึ้นไปก็ยิ่งน่าวิตก เพราะว่า 2508 มีพลเมือง 30 ล้านคนแต่มีนักเรียนชั้นมัธยมเพียง 3 แสนกว่า หมายความว่ามีคนอยู่ในวัยเรียน 3 ล้านกว่า มีนักเรียน 3 แสนประมาณร้อยละ 10 และในเมืองไทย คนที่มีการศึกษาชั้นมัธยมมีเพียงร้อยละ 1 เท่านั้นเอง เราภูมิใจว่าเมืองไทยนี้เป็นเมืองที่ก้าวหน้า ที่พัฒนา ที่มีการศึกษา แต่ว่าตามตัวเลขแล้วน่าวิตก การที่จะ แก้ปัญหานี้ เราก็จะต้องคิด ตามสถิติที่แสดงให้เห็นนี้ ก็เห็นได้ว่าการศึกษาของเราไม่สามารถจะขยายตัวออกไปให้ทันกับการเพิ่มของประชากร ปัญหานี้ยากที่สุด แล้วก็เป็นปัญหาอยู่นั่นเอง ไม่มีทางแก้ แต่ว่าถึงอย่างไรเราต้องถือว่าเป็นปัญหาที่จะต้องแก้ ไม่ใช่นึกว่า เมื่อแก้ไม่ได้ก็วางปัญหาเสีย ถ้าวางปัญหา เราจะไม่มีวันที่จะหาทางที่จะให้บ้านเมืองปลอดภัยและคงอยู่ได้ การแก้ไขปัญหาโดยตรงคือการสร้างโรงเรียน การเพิ่มครู เหล่านั้นเป็นเรื่องของรัฐบาล แล้วรัฐบาลก็ต้องทำตามกำลังของเงิน กำลังของคนที่จะมี เราจะตำหนิรัฐบาลหรือเร่งเร้าให้รัฐบาลแก้ปัญหา ก็ไม่ทำให้รัฐบาลแก้ปัญหานี้ได้รวดเร็วขึ้น หรือทำให้แก้ได้สำเร็จเด็ดขาด เรื่องเด็กขาดการศึกษานี้ ที่ลำบากเพราะว่าเด็กเป็นอันธพาล ไปตั้งแก๊ง ไปจี้ ปล้น ดังที่ได้กล่าวไว้แล้ว ทั้งนี้เพราะว่าเด็กที่ไม่มีการศึกษาไม่สามารถที่จะมีความยั้งคิดพอ แล้วก็นึกว่าจะหาเงินได้ง่ายๆ โดยไปจี้เขาอย่างที่เห็นในภาพยนต์ ปัญหานี้เราวางเฉย แต่ปัญหามันไม่เฉย ดังนั้นเราจะไม่แก้ไม่ได้ เราจะวางไม่ได้ เด็กที่เป็นอันธพาลนั้นจะเป็นอันตรายต่อเรา จะมาทำร้ายเราเข้า ถึงแม้จะแก้ปัญหาไม่ได้ ก็จะต้องประจัญหน้ากับปัญหา ซึ่งถ้าแปลเป็นภาษาอินโดนีเซียก็เป็น คอนฟรอนทราซี่อย่างที่เขาทำมาแล้วเราต้องให้ความรู้กับเด็กและคนรุ่นต่อไปอย่างที่เราจะสามารถทำ จึงพูดถึงสารานุกรม สารานุกรมนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่จะให้ความรู้แก่เด็ก และสารานุกรมนี้จะทำให้เราแก้ปัญหาของเราได้ในส่วนหนึ่ง ที่จริงมีวิธีแก้ปัญหาอย่างอื่นด้วย แต่ว่าเราต้องเลือกทำ ก็ขอเลือกทำสารานุกรม สารานุกรมนี้ไม่ใช่ครู แต่ว่าจะทำให้ช่วยให้คนอื่นที่ไม่ได้เป็นครูทำหน้าที่เป็นครูได้ เช่นพ่อแม่ ถ้าลูกถามปัญหาต่างๆ ก็อาศัยสารานุกรมนี้มาตอบได้คนที่อ่านรู้เรื่องมากกว่าจะสอนน้องได้ แล้วก็การที่ดูสารานุกรมด้วยกันในครอบครัวจะช่วยให้เกิดความใกล้ชิดในครอบครัว จะช่วยให้ลูกไว้ใจพ่อแม่ ซึ่งก็จะเป็นผลพลอยได้อีกอย่างนึ่ง นอกจากนี้ ระหว่างเด็กด้วยกัน หรือคนที่อ่านสารานุกรมด้วยกัน ก็จะคุยกันในวิชาการได้ จะเกิดความรู้และจะเกิดความสามารถที่จะแลกเปลี่ยนความคิดกันการแลกเปลี่ยนความคิดและแลกเปลี่ยนทัศนะกันนี้ เป็นทางที่จะทำให้มีความรู้กว้างขวางและจะทำให้อยากที่จะรู้มากขึ้น ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการศึกษา แม้สำหรับผู้ที่ทรงคุณวุฒิแล้ว หมายความว่าท่านผู้ใหญ่ที่มีความรู้มากได้ผ่านมหาวิทยาลัยแล้ว สารานุกรมนี้ก็อาจเป็นเครื่องเตือนใจได้ และให้ความรู้ที่กว้างขวางได้ พูดถึงสารานุกรม บอกได้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้ดำริมาเมื่อปีที่แล้วเท่านั้นเอง ดำริมานานแล้วตั้งแต่ปี 2506 เจ้าคุณศัลวิธานนิเทศ ซึ่งเป็นประธานกรรมการสารานุกรม ปัจจุบันนี้ ได้นำตัวอย่างงานของสภาวิจัยแห่งชาติ เป็นหนังสือสำหรับให้ความรู้กับเด็กมาให้ดู แต่ว่ามีเล่มหนึ่งที่ดูแล้วก็เลยขออนุญาตฉีกทิ้ง ท่านก็ไม่โกรธ เพราะว่าเจ้าคุณท่านเฉย เวลามองท่าน ท่านก็ไม่โกรธ ท่านมองแล้วก็ยิ้ม เพราะว่าเจ้าคุณก็เข้าใจ เรื่องนั้นเป็นเรื่องของการปกครอง พูดถึงการปกครองก็ว่ามีสถาบันยุติธรรม สถาบันนี้มีหลักอย่างนั้นๆ อยู่ในหนังสือเล่มนั้นพร้อมเราก็ทราบแล้ว ท่านผู้พิพากษาทั้งหลายที่อยู่ในที่นี้ก็ทราบดีแล้วว่าหลักของกฎหมาย หรือการศาล หรือขบวนการยุติธรรมนั้น ถือว่าผู้ที่กระทำผิดยังไม่ผิดจนกว่าจะพิสูจน์ว่าผิด ข้อนี้ก็เป็นของธรรมดาและเป็นหลักใหญ่ของท่านผู้พิพากษาแต่ขอโทษท่านตุลาการต่างๆ และผู้ที่มีอาชีพในทางการศาลว่า ถ้าไปสอนว่าทุกคนบริสุทธิ์ ถ้ายังพิสูจน์ไม่ได้ว่าผิด จะทำให้เกิดมีอันธพาลมากยิ่งขึ้น เพราะการที่ถือว่าคนที่เป็นอันธพาล คนที่เป็นขโมย คนที่เป็นผู้ร้ายที่จับไม่ได้ยังเป็นคนบริสุทธิ์นั้น เป็นการส่งเสริมการทำไม่ดี การขี้ปด ส่งเสริมการทำสิ่งผิดกฎหมาย ถ้าถือว่าจับคนไหนไม่ได้คนนั้นเป็นฮีโร ก็รู้สึกว่าจะทำให้ปัญหาเยาวชนมีมากยิ่งขึ้น เพราะคนไหนทำผิดแล้วจับไม่ได้ก็จะเก๋ ตำรวจก็จะปวดหัว ถ้าเล่มนั้นออกมาตั้งแต่ 2506 ป่านนี้เหตุการณ์คงร้ายยิ่งกว่านี้ เรื่องสารานุกรมนี้ก็โอ้เอ้กันมาอีกนาน ก็เลยได้ตั้งคณะกรรมการพิเศษขึ้น ซึ่งเจ้าคุณศัลวิธาน ฯ ก็เป็นประธานเหมือนกัน แต่ว่าท่านไม่ใช่สภาวิจัยเสียแล้ว ในฐานะสมาคมวิทยาศาสตร์ ก็จะทำสารานุกรมเหมือนกันแต่ทีหลัง เมื่อยังทำไม่ได้ดี ก็เลยต้องตั้งกรรมการใหม่ เจ้าคุณศัลวิธานนิเทศก็เป็นประธานอีก เพราะว่าท่านมีคุณวุฒิดีเลยเลือกท่านมาตั้งเป็นกรรมการ แล้วกรรมการมาพบกันที่สวนจิตรลดา เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2511 ก็เป็นเวลาปีครึ่งแล้ว และเริ่มงานตั้งแต่ครั้งนั้น ได้วางงานว่าการเขียนจะกินเวลา 12 เดือน หมายความว่าจะแล้วเสร็จเดือนสิงหาคม 2512 คือควรจะเสร็จมาแล้ว งานศิลปอีก 12 เดือน ตั้งแต่กุมภาพันธ์ 2512 ถึงกุมภาพันธ์ 2513 คือควรจะเสร็จในเดือนหน้า ตรวจภาษาและพิมพ์เสร็จในเดือนสิงหาคม 2513 ถ้าจะอยากให้เสร็จในวันเฉลิมสมเด็จ ฯ พอต่อมาเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2512 นี้ คณะกรรมการก็มาพบกันอีกครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าการดำเนินงานของคณะกรรมการยังไม่ได้ผลนัก ไม่เป็นตามความประสงค์ คณะกรรมการขอเวลาเพิ่มอีก 6 เดือนหมายความว่าคงแล้วเสร็จเกือบในปี 2514 แต่ความจริงขอบอกว่าไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าจะเสร็จใน 2514 การทำนี้ เร่งด่วนก็ต้องดึงเอาไว้ ไม่เช่นนั้นหาเงินไม่ทันและจะทำไม่ได้ดี ก็เลยบอกว่าขออีก 2 ปีให้ปลอดภัย การที่จะทำสารานุกรมนี้ก็ต้องดูว่าเราจะทำอย่างไร สารานุกรมนี้ตั้งใจจะให้เป็นสารานุกรมที่เป็นของไทย มีคนไทยเป็นผู้เขียน คนไทยเป็นผู้อ่าน แล้วก็ทุนรอนก็เป็นของไทย เหมือนบริษัทไทยทำ ไทยใช้ ไทยบ่น แต่ว่าขออย่าให้บ่น สำหรับสารานุกรมนี้เราบ่นไม่ได้ เพราะว่าถ้าทำดีแล้วก็ได้ผลดีเป็นความปลอดภัยของเราเป็นอนาคตของเรา จึงบ่นไม่ได้ เราต้องทำ ไม่ใช่ถอดแบบมาจากฝรั่ง คือรักษาหลักของฝรั่งบางอย่างที่เขาทำเป็นตัวอย่าง แต่ต้องมาคิดทำแบบของเรา ให้เหมาะสมกับคนไทย และอีกประการหนึ่งก็ต้องทำสารานุกรมนี้ให้เป็นสารานุกรม ไม่ต้องทำตามหลักสูตรของกระทรวงศึกษา และไม่ต้องทำแบบฝรั่งตอนนี้ก็มี... นี่ต้องขอโทษหน่อยนะ เพราะว่าเขียนกลับไปกลับมา ดูสองใบพร้อมกัน เพราะว่าเคยชินกับการเล่นดนตรี เล่นดนตรีนั้นต้องดูโน๊ต 2 แผ่น เพราะว่า วงดนตรีของเรานั้น เวลาคนที่เล่นแตรเล่นอยู่ คนที่เล่นแซกโซโฟนไม่อยู่ ก็ต้องเล่นแตร 2 อัน เวลาคนที่เล่นแซกโซโฟนอยู่แล้วคนแตรไม่อยู่ก็ต้องชำเลืองแซกโซโฟน 2 อัน ทำอย่างนั้นอยู่เสมอ ตอนนี้เลยเคยชิน ต้องมาอ่านโน๊ต 2 แผ่น และนักดนตรีทางโน้นเขาก็บอกว่าบ้าแซกโซโฟน 2 อันเล่นไม่ได้ วันหลังจะแสดงให้ดู (เสียงหัวเราะและปรบมือ) กลับมาที่สารานุกรม สารานุกรมนี้จะต้องให้ความรู้ในวิชาทุกสาขา ดูเป็นธรรมดาว่าสารานุกรมก็ต้องให้ความรู้ทุกสาขา แต่สารานุกรมนี้ต้องทำให้แสดงให้เห็นว่าวิชาความรู้ทุกสาขานั้นมีความสัมพันธ์กัน เช่น พูดถึงดนตรีเมื่อกี้ก็ให้เห็นมีความสัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์ นักดนตรีที่นั่งเล่นดนตรีอาจไม่ทุกข์เรื่องวิทยาศาสตร์นัก แต่มีบางคนเขาก็ทุกข์เพราะว่าดนตรีนี่เป็นเสียง เสียงมีเสียงสูงเสียงต่ำ แล้วก็ถ้าเสียงสูงเสียงต่ำนั้นไม่สัมพันธ์กัน ไม่เรียบร้อย ไม่เป็นคอร์ดให้ดี ดนตรีก็แย่เหมือนกัน อย่างเมื่อกี้ ดนตรีมีเสียงที่เป่าออกมาเป็นเสียงหนึ่ง เสียงที่ดีดมาอีกเสียงหนึ่ง มันเพี้ยนฟังแล้วก็เมื่อยหูชะมัด (เสียงปรบมือ) เรื่องของดนตรีนี้ก็มีอีกที่สัมพันธ์กับวิทยาศาสตร์ นอกจากเสียงเป็นคลื่นแล้ว สเกลก็ต้องมีส่วนสัด สเกลของฝรั่งกับของไทยก็ไม่เหมือนกัน นอกจากนี้ก็มีเสียงดังหรือไม่ดัง อย่างเมื่อกี้อีก ก็ดังไปหน่อย เสียงเข้าหูทางนี้แล้วมันออกทางนี้ ท่านผู้ว่าภาค ฯ พูดออกมาทางนี้เป็นเสียงเบสเลย (เสียงหัวเราะ) นี่ สารานุกรมก็จะต้องอธิบายว่าทำไมเสียงเบสเข้ามาทางหูนี้ มาออกหูนี้ ไปสะท้อนกับผู้ว่าภาค ฯ แล้วกลับมาเป็นเสียงเบสได้ ก็หมายความว่าพูดถึงเสียงสะท้อนเสียงดัง แล้วก็มีบางคนบอกว่าเสียงเข้ามาทางนี้ ไม่ออกมาทางนี้ นี่เป็นวิทยาศาสตร์ เสียงเข้ามาทางนี้แล้วไปทำลายประสาทอีกหน่อยก็หูหนวกจึงต้องเอาเครื่องวัดมาดู วันสังคีตมงคลก็เอาเครื่องไปวัดจนกระทั่งพวกวงที่เล่นประชันกันไม่กล้าเล่นเสียงเลยไม่ดังแล้วก็หูเลยไม่เสีย นี่ไปพูดเรื่องดนตรีเสียมาก ก็เลยดูเป็นว่าดนตรีเป็นสำคัญที่จริงดนตรีสำคัญ แต่ว่าวิทยาศาสตร์ก็สำคัญเหมือนกัน แล้วก็สารานุกรมนี้จะต้องแสดงว่าเกี่ยวพันกันทั้งนั้น วิชาทุกวิชา ศิลปหรือวิทยาศาสตร์ แม้แต่ปรัชญาก็พาดพิงกันทั้งนั้นวิชาแต่ละวิชาไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว และมนุษย์เราก็ต้องอาศัยทุกแขนงวิชาในชีวิต เช่นเราบอกว่าเราเป็นคนที่เป็นนักธุรกิจ แต่เราก็เป็นคนเหมือนกัน เราจะต้องรู้เรื่องเกษตรเหมือนกัน เพราะอาหารที่เรารับประทาน ก็ต้องมาทางเกษตร แล้วเราก็ต้องรู้เรื่องสถาปนิกนิดหน่อยเพราะเราต้องอาศัยอยู่ในบ้าน ต้องเป็นช่างนิดหน่อย เพราะต้องอาศัยสิ่งที่ให้ความสะดวกแก่เรา สมัยนี้ที่มันจะแย่หน่อยก็เพราะว่าทุกคนมุ่งจะเอาความรู้ในด้านเดียวคนชักจะไม่เป็นคนที่เต็มคน แล้วก็เมื่อคนไม่เต็มเพิ่มขึ้น สถานการณ์ของโลกก็เป็นอย่างนี้ เราทราบดีว่าสถานการณ์ของโลกแย่ เพราะว่าคนไม่เต็มนึกว่าตนเองเต็มและคนอื่นไม่เต็ม จึงตีกัน แล้วนับวันจะยิ่งแย่ลง คำว่าเต็มนี้ก็ใช้ได้ทั้งสองอย่าง เต็มบาทหรือเป็นมนุษย์ที่ครบถ้วนที่มีความรู้ทุกอย่าง เราต้องเร่งสร้างสารานุกรมด่วนสำหรับสร้างคนที่รู้รอบตัว ความรู้จะทำให้คนเป็นคนเต็มคน อันนี้เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่จะต้องสร้างสารานุกรมในการสร้างสารานุกรมนี้ก็มีอีกอย่างหนึ่งที่ต้องทำคือว่าทำเพื่อให้ได้ประโยชน์จริงๆ ก็อย่างที่ว่าข้างต้นว่าพ่อแม่สอนลูก พี่สอนน้อง น้องสอนตัวเองได้ ต้องวางวิธีที่จะให้ทุกคนได้เป็นประโยชน์จากสารานุกรม จึงได้บอกอาจารย์ต่างๆ ที่เขียนสารานุกรมว่าต้องให้เขียนสำหรับให้คนสามระดับอ่าน คือ หนึ่งระดับเด็กอายุ 8 ขวบถึง 12 ระดับเด็กอายุ 12 ถึง 14 และระดับเด็กตั้งแต่อายุ 15 ขวบขึ้นไปถึงผู้ใหญ่ 60 ขวบหรือเด็ก 65 ที่กำหนดนี้ดูจะ ทำยาก และก็จะมีคนคัดค้านเหมือนกัน ก็ต้องอธิบายดังนี้ที่ว่าเขียนสำหรับเด็กอายุ 8 ขวบนั้น หมายถึงเด็กที่อายุ 8 ขวบจริงๆ ที่เพิ่งเริ่มอ่านหนังสือได้ดีพอควรและเด็กอายุ 8 ขวบที่อยู่ในตัวเราเอง คนเราเติบโตแล้วก็ต้องรู้วิชาต่างๆ หลายอย่าง แต่บางอย่างก็มากบางอย่างก็น้อย สำหรับวิชาที่เราไม่รู้นั้นเราก็อาจอยู่ในระดับเดียวกับเด็ก 8 ขวบก็ได้ ถ้ามาสอนตอนต้นด้วยศัพท์เทคนิค ต่างๆ และรายละเอียดที่ยืดยาวสับสน เราก็ไม่เข้าใจแน่ แต่ถ้าเริ่มด้วยศัพท์สามัญและข้อความง่ายๆ เราก็จะเข้าใจ ได้และสนใจที่จะศึกษาต่อไป ความสนใจนี่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กระดับเด็ก 8 ขวบ ดังนั้นก็สรุปได้ว่าจะต้องเขียนด้วยศัพท์ที่ง่าย ที่ธรรมดา และก็เป็นความรู้เบื้องต้นเปรียบเป็นการพาดหัวหนังสือพิมพ์ ซึ่งมีข้อความพอให้คนจับข่าวได้ว่าอะไรเกิดขึ้น แล้วก็จะสนใจต่อไป แล้วก็จะอ่านต่อไป สำหรับระดับเด็ก 12 ถึง 14 นั้น หมายความว่า เด็กที่อายุเท่านั้นและเด็กที่อยู่ในตัวเรา หมายถึงว่าเมื่อ เรามีความรู้ขั้น 12 ถึง 14 ก็ควรจะเขียนเป็นหัวข้อและขยายความและสรุปความให้เกิดความรู้ยิ่งขึ้น ก็เหมือนหนังสือพิมพ์เขาเรียกว่าเขียนแบบโปรยหัวข่าว ถ้ายกตัวอย่างหนังสือพิมพ์เขาก็พาดหัวข่าวว่า “ฆ่ากันตายกลางถนน” นี่ตัวโตมีข้อความดังนี้ ทำให้คนรู้ว่ามีการฆ่ากันกลางถนน ก็สนใจจะอ่านต่อไป และหัวข่าวนั้นต่อไปก็จะโปรยหัวข่าวว่า “ช่างไม้พบคู่อาฆาตกลางถนน ด้วยความแค้นที่มีมานาน ชักมีดออกเสียบอกพุงแล้วก็ดับคาที่” (ปรบมือ) นี่ทำให้เรียกร้องความสนใจของท่านทั้งหลาย เรียกร้องความสนใจของผู้ที่จะอ่านก็อยากอ่านต่อไป “ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริดของผู้สัญจรไปมาในท้องถนน” นี่เป็นโปรยหัวข่าวนี่ทำให้รู้เพิ่มขึ้นว่ามีข่าว ให้มีความรู้ว่าคนร้ายเป็นช่างไม้ฆ่าคนด้วยอะไร เพราะเหตุใดและมีอะไรเป็นอาวุธ แทงคนตายบนถนนเพราะเหตุใด ผลเป็นอย่างไร ต่อไปเมื่อคนสนใจแล้วก็เป็นเนื้อข่าวเอง เป็นเนื้อข่าวที่ยาว ที่ละเอียด มีรายละเอียดว่าอายุเท่าไร มีอาชีพอะไร ทั้งของคนร้ายของคนตายและก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากสถานีใดมา มาพูดว่าอย่างไร และก็สาเหตุที่โกรธเคืองต่างๆ ก็เป็น ข่าวแท้ ละเอียดลออ รู้เรื่องหมดเลย เทียบกันได้ว่าถ้าเนื้อข่าวเท่ากับเนื้อที่เราจะเขียนสำหรับเด็กอายุ 15 ปีขึ้นไป มีรายละเอียด มีคำเทคนิค มีความรู้ที่จะเป็นประโยชน์ แม้ผู้ใหญ่ก็จะใช้ได้ อันนี้ก็เป็นวิธีที่จะต้องทำ แต่ก็ไม่ทราบว่าคณะกรรมการท่านเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ขอพูดอย่างนี้ ฝากความคิดไว้ให้แก่สมาชิกไลออนส์อีกข้อหนึ่งที่ต้องระวังในการเขียนสารานุกรมนี้ก็คือ ต้องเขียนให้เป็นเฉพาะหลักวิชาแท้ๆ คือว่าเขียนแล้วต้องเป็นข้อเท็จจริง เช่นประวัติศาสตร์ก็ต้องเขียนแต่ข้อเท็จจริงความจริงหนังสือพิมพ์ที่ว่าเมื่อกี้ก็มีฝอยมากเหมือนกัน อย่าไปเอาอย่าง เรื่องสารานุกรมมีฝอยไม่ได้ จะเอาความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเองใส่ในนั้นก็ไม่ได้เป็นอันขาด เพราะว่าสารานุกรมนี้เป็นหลักวิชา เป็นข้อเท็จจริง เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความคิดเองของตัวเอง ไม่ใช่ถ่ายทอดความคิดหรือลัทธิของตัวเองให้อยู่ในนั้น ต้องให้ผู้ที่อ่านทราบเป็นหลักวิชาและมาวิจารณ์เองในการสร้างสารานุกรมก็ยังมีอีกอย่างที่จะต้องทำ คือที่ได้บอกไว้แล้วว่าต้องโยงเรื่องหนึ่งไปยังอีกเรื่องหนึ่งเพื่อให้ชักจูงความสนใจของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ให้เห็นว่าโลกเรานี้สัมพันธ์กันทั้งนั้น อันนี้จะทำให้เกิดความรู้กว้างขวางยิ่งขึ้น และจะเกิดความเข้าใจอันดีระหว่างบุคคลและระหว่างทุกประเทศชาติ ในสารานุกรมนี้ก็ยังต้องมีรูปภาพก็เช่นเดียวกัน จะต้องเป็นรูปภาพที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่เขียนรูปภาพให้สวยให้งามเป็นศิลปสำหรับให้ผู้อ่านผู้ดูชมว่ารูปสวยจนลืมว่าเป็นสารานุกรม ต้องให้ภาพนั้นเป็นประโยชน์ชี้ถึงหลักวิชา สารานุกรมนี้กำหนดเอาไว้ กะเอาไว้ว่ามี 4 เล่ม เล่มละ 400 หน้า เป็นชุดหนึ่งแล้วก็กะว่าครั้งแรกจะพิมพ์หมื่นชุด เพื่อที่จะแจกจ่ายตามโรงเรียน ตามสถาบันห้องสมุดทั่วประเทศ และว่าสำหรับขายให้กับผู้ที่สนใจสำหรับเป็นที่พึ่งในครอบครัว และก็สำหรับแก้ไขให้ผู้ที่ไม่มีงานทำหรือเตร่ไม่มีโรงเรียนไป ได้สามารถหาความรู้ได้แต่แม้ตอนนี้... ขอวงเล็บไว้หน่อย... แม้แต่ผู้ที่มีโรงเรียนอยู่ มีเงินที่จะไปโรงเรียนดีๆ ก็อาจเป็นอันธพาลได้ และก็ขอให้ทราบว่าอันธพาลที่เป็นลูกของคนรวย อันนี้น่าเศร้า ก็ที่พูดมาทั้งหมดนี้ก็แสดงให้เห็นว่า สารานุกรมเป็นเรื่องที่จำเป็นและเป็นประโยชน์และก็ได้บรรยายถึงลักษณะของสารานุกรม เพราะว่าปัญหาเรื่องให้การศึกษาแก่คนนี้ เป็นปัญหาของคนทุกคน ไม่ใช่ของบุคคลใด บุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ ต้องร่วมมือกันหลายฝ่ายระหว่างผู้ที่มีความรู้ ผู้ที่มีเจตนาดีต่อสังคม และผู้มีทุนทรัพย์ เรื่องทุนทรัพย์นี้ก็นับว่าเป็นส่วนสำคัญ เพราะว่าที่กะหมื่นเล่มหมื่นชุดนี้เป็นเงินไม่ใช่น้อย ที่กะดูครั้งแรกว่าล้านบาทสำหรับหมื่นชุด ดูๆ ไปแล้วก็จะน้อยไป เพราะว่าจะเป็นประมาณ 2 ล้านบาท ซึ่งวันนี้ก็ได้เงินมามากมายน่าชื่นชม ขูดรีดมามาก แต่ว่าก็ไม่พอ จึงขอให้ขูดรีดต่อไป (ปรบมือ) และก็ขอแนะนำ ที่สโมสรไลออนส์เสนอหาทุนมาเพื่อจัดพิมพ์สารานุกรมเช่นนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ สโมสรไลออนส์มีความห้าวหาญอย่างมาก เพราะว่าจะพยายามเผชิญกับปัญหาการศึกษา ปัญหาเยาวชน พยายามที่จะแก้ให้ตก แล้วก็ซ้ำยังอาสาที่จะหาเงินให้ ก็นับว่าเป็นที่น่าชมเชยอย่างยิ่ง ขอชมเชยสมาชิกสโมสรไลออนส์ทุกคนที่จัดงานทุกอย่าง และก็ที่ได้อาสาที่จะหาเงินให้ แต่ขอแนะนำอย่างหนึ่งว่า ถ้าอยากหาเงินให้ได้ครบ 2 ล้าน... หรือคงมากกว่า 2 ล้าน... ควรที่จะปรับให้มากขึ้น (ปรบมือ) ก็ขอจบเพียงเท่านี้ ถ้าพูดมากเกินไปจะโดนปรับ เพราะวันนี้ลืมกลัดเข็มไลออนส์ (ปรบมือ) ขอบใจทุกคน.”,อ่านต่อ



จำนวนการเข้าชม :  295 ครั้ง

พระสุรเสียงที่มีเนื้อหาคล้ายกัน