“ขอให้ทุกคนนั่งลงให้เรียบร้อยเสียก่อน จะได้คิดออกว่าจะพูดอะไร นี่เป็นรายนามของอาจารย์ต่างๆ ที่มาในวันนี้ เพิ่งได้รับเมื่อกี้นี้เอง แต่ว่าคง ไม่ต้องมีการใช้เท่าไรเพราะว่าเมื่อปีที่แล้วมีการเลือกตั้งเรียบร้อยแล้ว และถ้ามีการเลือกตั้งทุกปีก็จะสิ้นเปลืองมาก ที่ท่านอธิการบดีได้ขอเมื่อกี้ ก็ขอโอวาทเป็นอันดับแรก และขอพรสำหรับผู้ที่จะเข้าสอบไล่เป็นอันดับที่สอง อันดับที่สามก็มีเรื่องว่านำวงดนตรีมาบรรเลง แต่เรื่องวงดนตรี ในวันนี้ก็เห็นได้ว่าออกจะฟันหรอมาก (เสียงหัวเราะ) เพราะว่าวงดนตรีนี้ไม่เคยเต็มเลย ในวันนี้ยิ่งไม่เต็มใหญ่เพราะผู้ที่เล่นดนตรีในวงนี้ต้องไปราชการ ต้องไปเรียน ต้องไปสารพัดอย่าง บางคนต้องไปถึงเมืองลาว ไม่ทราบว่าจะเลยไปเมืองสุยหรือเปล่า (เ...สียงหัวเราะ) แต่อย่างไรก็ดี อันดับแรกนี้ก็คือทุกครั้งที่มาในโอกาสเช่นนี้ เป็นประเพณีว่าท่านอธิการบดีต้องขอโอวาท ครั้งแรกๆ ไม่ได้ขอ แต่ก็คงเห็นว่าทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นนี้ก็ต้องมาพูด แล้วก็พูดในทำนองว่าเป็นโอวาท แม้จะไม่เรียกว่าโอวาทก็เป็นโอวาท แต่มาปีนี้มีความรู้สึกหนักใจมากที่ท่านขอโอวาท เพราะเกิดมาคิดออกว่า คำว่าให้โอวาทนี้ก็หมายความว่าเป็นการให้คำสั่งสอนจากผู้ใหญ่ ให้แก่เด็ก อันนี้เป็นการส่งเสริมที่ทางสมาคมสุขภาพจิตว่า generation gap คือว่าผู้ที่เป็นผู้ใหญ่คิดอย่างหนึ่ง ผู้ที่เป็นเยาวชนก็คิดอีกอย่าง เลยกลายเป็นบังคับให้มาเป็นคนแก่มาพูดกับเด็ก ซึ่งตามข้อเท็จจริงแล้วก็รู้สึกว่าไม่ใช่คำว่า generation gap วันก่อนนี้คุณหญิงอัมพร และคุณคึกฤทธิ์ แปลว่ากระไรก็จำไม่ได้แล้ว มัวแต่ดูโขน คำนี้คิดมาหลายเวลาแล้ว ไม่ใช่เพิ่งคิดเดี๋ยวนี้ว่าเป็นคำที่แปลกมาก เพราะคล้ายๆ ว่ามนุษย์ในโลกนี้เป็นมาเป็นระลอกๆ คนหนึ่งอายุ 10 ขวบ คือหมายความว่ารุ่นหนึ่งอายุ 10 ขวบ อีกรุ่นหนึ่งอายุ 40 ขวบ และอีกรุ่นหนึ่งอายุ80 อ้อ 60 ขวบก่อน ไม่อย่างนั้นจะปลดเกษียณไม่ได้ และอายุ 80 ถึง 100 ความจริงถ้ามาสำรวจแล้ว ในโลกหรือในประเทศ เราจะได้เห็นว่ามีคนที่อายุ 1 วัน 2 วัน 3 วัน และหมายถึงว่าอายุ 1 ขวบกับ 1 วัน 2 วัน 3 วันและอายุต่อๆ ไปไม่มีขาดสาย และก็ gap จะอยู่ที่ไหน เลยไม่ทราบว่าเราจะเรียก generation gap จากไหนไปถึงไหน จะว่าคนอายุ 20 เป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง คนอายุ 40 เป็นผู้ใหญ่แล้วหรือยัง อันนี้เป็นข้อสังเกตอย่างหนึ่งที่น่าหนักใจเพราะโดยมากมาใช้ generation gap สำหรับมาโฆษณาว่ามีปัญหาเยาวชน การที่พูดอย่างนี้เพราะว่าในสมัยปัจจุบันนี้เราต้องเห็นประจักษ์แล้วว่ามีปัญหาเยาวชน เลยไม่ทราบว่าเยาวชนคือใคร แต่ถ้ามาพิจารณาดูตามที่เมื่อบ่ายวันนี้ได้ฟังรายการของนายพร รัตนสุวรรณ เชื่อว่าท่านทั้งหลายที่อยู่ในหอประชุมนี้ไม่ได้ฟัง เพราะว่ามัวแต่มาจองที่กัน รายการของนายพร รัตนสุวรรณ นี้เป็นรายการที่น่าสนใจมาก เพราะว่าพูดถึงจิตใจของคนเรา ว่าทำอย่างไรสำหรับจะให้มีความสบายใจ มาจับใจความตอนหนึ่งซึ่งอาจไม่ได้เป็นใจความสำคัญในรายการนั้นว่า ร่างกายคนนี้ถูกแดด ถูกลมถูกฝน ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจทำให้ร่างกายทรุดโทรมได้ อาจทำให้เจ็บป่วยได้ แต่ถ้าอนามัยดีก็ทนได้ และก็ขอเติมว่า ถ้าอนามัยดีก็ทำให้แข็งแกร่ง ร่างกายแข็งแรงขึ้นถ้าถูกลม ถูกแดด ถูกฝน คำว่าลมนี้เพิ่มเติมเอาเอง นายพรไม่ได้บอก บอกแต่ว่าถูกแดดและถูกฝน ที่นายพรได้ใช้คำว่าถูกแดดและถูกฝนก็เพราะว่าแดดหรือแสงแดดนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ คนเราและสิ่งที่มีชีวิตทั้งหลายมีชีวิตได้ และฝนนั้นก็เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นแก่ชีวิตเหมือนกัน แต่ถ้าถูกมากและอนามัยไม่แข็งแรง ก็เป็นหวัดเหมือนผู้พูด คือกลับมาจากเชียงใหม่ก็จับไข้เล็กน้อย ตามที่ได้ทราบจากวิทยุหรือหนังสือพิมพ์ นายแพทย์ก็ได้สั่งห้ามไม่ให้ปฏิบัติราชการใดๆ ก็ยังปฏิบัติบ้าง จนกระทั่งวันนี้ก็ยังเสียงแหบไม่ชัดเจน กลับมาเรื่องของนายพร นายพรบอกว่าถ้าถูกแดดถูกฝน อนามัยแข็งแรงก็ไม่เป็นอะไร ทำให้แข็งแกร่ง แต่ว่าจิตใจเหมือนกัน คนเราถ้าไปเจออุปสรรคและสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาเราก็ขุ่นหมอง แต่ถ้าจิตใจเราแข็งแรง แข็งแกร่งดี อุปสรรคนั้นจะทำให้สามารถที่จะทำให้มีอำนาจจิตดีขึ้น มีกำลังใจมากขึ้น สิ่งที่เป็นอุปสรรค สิ่งที่ทำให้เราขุ่นเคืองใจ ไม่เป็นผลร้ายต่อตัวเรา กลับทำให้ใจเราแข็งแกร่ง แข็งแรง ตามที่พูดในข้อนี้ทำให้นึกถึงว่า ผู้ที่มีอายุมากขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็มีประสพการณ์มากขึ้น คงได้ผ่านอุปสรรคหลายอย่างนานาประการ อย่างน้อยที่สุดก็ได้ผ่านการสอบไล่ซึ่งเป็นอุปสรรค ซึ่งเป็นสิ่งที่ลำบาก แต่เมื่อผ่านไปแล้วก็แข็งแรงมีคุณวุฒิมากขึ้นทุกที จนกระทั่งอย่างสำหรับนึกศึกษาก็ได้ปริญญา เมื่อได้ปริญญาแล้วก็มีพลัง มีกำลังที่จะปฏิบัติงานมากขึ้น พูดถึงผู้ใหญ่และเด็ก ถ้ามาพูดถึงอย่างนี้ เราก็เห็นได้ว่า ผู้ที่ได้ผ่านอุปสรรคและต้องฟันฝ่าโดยไม่ท้อถอย โดยที่มีความเข้มแข็งและความสามารถ ก็ยิ่งเป็นผู้ใหญ่เข้าทุกวัน ฉะนั้น ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ก็จะให้โอวาทแก่ผู้ที่เยาว์กว่าได้ เยาว์กว่าจึงอาจหมายถึง เยาว์กว่าในทางประสบการณ์ด้วยและเยาว์กว่าในทางอายุด้วย อย่างนี้ก็บอกได้ว่า ผู้ใหญ่กับผู้เยาว์ก็ไม่มีความแตกต่างกัน นอกจากมีคุณวุฒิมากหรือน้อยแต่อีกข้อหนึ่งต่างหากจากที่นายพรได้พูด และที่ได้มาเทียบในเรื่องผู้ใหญ่กับเยาวชนก็คือ ในสมัยนี้มีประชากรเพิ่มขึ้นมาก และตามสถิติ ถ้าประชากรเพิ่มอย่างรวดเร็วก็หมายความว่า เทียบตามส่วนผู้ใหญ่จะมีน้อยกว่าเด็ก คนที่เป็นผู้ใหญ่ผู้ที่มีความรับผิดชอบในการสอนผู้ที่เป็นเด็กก็นับว่าน้อยลงทุกที คนที่อายุมากมีน้อย คนที่อายุน้อยมีมาก จึงทำให้เกิดปัญหาเยาวชน เพราะว่าผู้ใหญ่สอนเด็กไม่ทัน แต่ว่าถ้าดูอีกแง่หนึ่งก็จะทำให้เห็นได้ว่าจะต้องร่นอายุของผู้ที่เรียกว่าผู้ใหญ่ลงมาจากแต่ก่อนนี้ ท่านผู้เฒ่าผู้ที่เป็นอาจารย์ที่เป็นผู้ที่อายุ 40, 50, 60 ก็เป็นอาจารย์ที่เป็นที่น่านับถือ และก็ผู้ที่เยาว์เป็นลูกศิษย์ก็อายุต่ำลงมาก็สมดุลกัน เพราะว่าจำนวนผู้ที่อายุเกิน 40 กับผู้ที่อายุน้อยกว่า 40 มีพอๆ กันจึงสอนกันได้ ให้ความรู้กันได้ ตักเตือนกันได้ มาสมัยปัจจุบันนี้ผู้ที่อายุมากกว่า 40 กับผู้ที่อายุน้อยกว่า 40 ไม่สมดุลกันแล้ว เพราะว่าผู้ที่อายุน้อยว่า 40 มีจำนวนมากกว่าผู้ที่อายุมากกว่า 40 ไม่ใช่น้อย วิธีปฏิบัติก็ต้องมีว่า ต้องให้ผู้ที่อายุน้อยกว่า 40 เชื่อฟังผู้ที่อายุมากกว่า 40 มากขึ้น อันนี้ก็รู้สึกว่าทำยาก มีวิธีอีกอย่างก็คือลดลำดับลดอายุของผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ลงมา อย่างที่ทำอยู่ทุกวันนี้ และทางนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็ได้แสดงอยู่แล้ว ว่าให้ลดอายุของผู้ทรงคุณวุฒิลงมา คือให้พวกเราที่เป็นอยู่ในวัยศึกษาได้เป็นผู้ใหญ่โดยแท้ ไม่ใช่ว่าแต่ละคนจะเดินขบวนไปกระทรวงยุติธรรมเพื่ออยากดัง ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าปฏิบัติด้วยความรอบคอบว่าเรามีความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง เรามีความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่เหมาะสม ไม่ทำให้เดือดร้อนต่อผู้อื่น ไม่ใช่ทำให้เป็นกำลังของนักศึกษาเหมือนที่เขาทำกันในต่างประเทศ ในต่างประเทศเขาบอกว่านักศึกษาต้องวุ่นวาย มีกฎเกณฑ์ว่าจะต้องวุ่นวาย เพราะว่าต้องดัง แต่ว่าการที่จะให้นักศึกษาในวัยศึกษาอย่างนี้ดัง ก็รู้สึกว่าทำให้หูเสียเสียเปล่า เพราะว่าการดังนั้นถ้าทำเพื่อการดังก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่ถ้าพยายามที่จะทำเพื่อให้บ้านเมืองมีความผาสุก มีระเบียบ และมีการปกครองที่เหมาะสม ไม่ใช่เพราะอยากดัง ก็ทำได้ด้วยการแสดงความคิดเห็นต่างๆ ที่พูดถึงข้อนี้ก็เพราะว่าวิตกว่า มีอิทธิพลมาจากต่างประเทศหลายประเทศ ทั้งเหนือ ทั้งตะวันออก ทั้งตะวันตกของประเทศไทย ไกลๆ ไปถึงตะวันออก ตะวันตกเฉียงเหนือ เฉียงใต้ก็มี มีอิทธิพลของการแสดงว่านักศึกษาต้องดัง ต้องแสดงแผลงต่างๆ ในเมืองไทยเราก็เคยอวดแก่ชาวต่างประเทศอยู่เสมอว่า ผู้ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเมืองไทยเขาคิดก่อนที่จะดังและก็เมื่อดังแล้วเป็นเสียงที่ไพเราะ ก็หวังว่าเป็นเช่นนั้น และเป็นประโยชน์ต่อสังคมตามที่ทุกคนแต่ละคนก็คงปรารถนา คือปรารถนาให้บ้านเมืองมีความสงบ มีความเจริญ มีความก้าวหน้าที่จะมีบ้านเมืองอยู่ต่อไปได้ ฉะนั้น การที่นักศึกษาแสดงท่าทีต่างๆ แต่หลังจากที่ได้คิดรอบคอบแล้วก็เป็นการดี ไม่เดือดร้อนต่อส่วนรวม พูดถึงการไปกระทรวงยุติธรรม เพราะว่าวันนั้นก็ทราบดีว่าไม่ใช่เป็นการเดินขบวน แต่ละคนไป แต่เมื่อบวกกันไปก็เป็นจำนวนไม่ใช่น้อย ก็มีการออกความเห็นอย่างสงบ ซึ่งก็ไม่น่าจะขัดข้องอะไร และเมื่อได้รับคำชี้แจงอย่างสงบก็เป็นประโยชน์แก่ทุกคนที่ได้ไปในวันนั้น เป็นการฟังซึ่งแทนที่จะมาฟังในห้อง ก็เป็นการไปฟังในที่โล่งแจ้ง และอาจนั่งฟังกันได้โดยไม่ใช่นั่งเก้าอี้แต่ก็นั่งกับพื้น แต่ที่ได้รับฟังนั้นก็เข้าใจว่าเกิดความเข้าใจดีขึ้น ในสถานการณ์และในความหมายของการต่อสู้เพื่อให้บ้านเมืองมีการปกครองอย่างประชาธิปไตยและอย่างที่เหมาะสม มาในเรื่องการปกครองอย่างประชาธิปไตย ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงว่าเราต้องการการปกครองแบบประชาธิปไตยแล้วก็เคยพูดแล้วว่าประชาธิปไตยก็มีหลายแบบ แต่ว่าการที่ต้องการให้ศาลมีอิสระในการพิจารณาคดีนั้น ก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมและเป็นสิ่งที่จำเป็น ถ้าศาลได้ปฏิบัติการที่ดีที่เหมาะสมแล้วก็สมควร ถ้าศาลปฏิบัติไม่ดี ผู้ที่แก้ไขก็ต้องเป็นผู้ที่อยู่ในวงการศาลนั่นเอง เพื่อกันไม่ให้กิจการศาลล่มจมเสียหาย และท่านทั้งหลายส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนใหญ่พอใช้ ที่จะต้องใช้ชีวิตในเรื่องกฎหมาย จึงเป็นหน้าที่ของแต่ละท่านที่จะเข้าใจในวิธีการและในทางที่จะแก้ไขความบกพร่องที่จะมีได้ และรักษาความปึกแผ่นมั่นคงของสถาบันตุลาการ ที่มาพูดในวันนี้อย่างนี้ก็เพราะว่าไม่ทราบว่าเข้าใจแท้จริงแล้วหรือไม่ในสิ่งที่ผ่านมา ที่กำลังผ่านอยู่ และที่จะมีต่อไปว่าเป็นอย่างไรแน่ คือกฎหมายนั้นต้องมี แต่ก็ต้องมีกฎหมายที่เหมาะสมแก่สถานการณ์ และเหมาะสมแก่ระบอบ และความต้องการของประชาชนและของประเทศ ขอพูดเพียงเท่านี้ เพราะว่าถ้าพูดมากเกินไปเดี๋ยวทางฝ่ายตุลาการก็จะโกรธเอา และถ้าพูดมากต่อไป ทางฝ่ายบริหารก็จะโกรธเอา อยู่ในที่ที่ลำบากอยู่ระหว่างกลาง ก็จะโดนกระแทกทั้งสองทาง จึงฝากไว้กับท่านทั้งหลาย ทั้งผู้ที่กำลังศึกษาและทั้งกำลังสอนอยู่ว่าควรจะพิจารณาปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร และจะร่วมรับผิดชอบในการต่อสู้เพื่อความเป็นปึกแผ่นมั่งคงของบ้านเมืองโดยใช้วิธีถูกต้องอย่างไร เรื่องสอบก็พูดไว้แล้วเมื่อกี้กับพวกที่จะสอบเรื่องล้มละลายว่า ถ้าดูหนังสือแล้วจิตใจผ่องใสก็มีทางสอบไล่ได้ แต่ว่าถ้าถือว่าคืนนี้ตั้งแต่ย่ำค่ำก็เริ่มไปอ่านหนังสือไปดูหนังสือก็ลำบากอยู่ เพราะเดี๋ยวนี้ไม่ใช่ย่ำค่ำแล้ว เดี๋ยวนี้สองทุ่ม ครึ่งแล้ว แต่ว่าอยู่ที่กำลังใจที่ทุกคนจะต้องตั้งจิตให้ดีก่อนที่จะเข้าสอบ ถึงว่าที่ให้พรนี้ก็ขอให้ทุกคนตั้งจิตอธิษฐานก่อนที่จะนึกเข้าสอบไล่ แล้วก็เมื่อตั้งจิตอธิษฐานแล้ว หมายความว่าจิตใจนิ่งแล้ว ก็บอกว่าคราวนี้เข้าสอบให้เข้มแข็ง ทุกสิ่งทุกอย่างได้เรียนมา แล้วก็จะตอบได้ นอกจากนี้ก็อาจมีเรื่องโชคนิดหน่อย จึงขอให้พรให้ทุกคนได้มีโชคดีที่จะสอบไล่ได้ หมายความว่าคำถาม ที่มีเราจะตอบได้ เพื่อให้ทราบว่าเราจะสามารถผ่านไปอีกขั้นหนึ่งสู่ความสำเร็จ ขอให้ทุกคนจงมีความสำเร็จในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ ต้องขอขอบใจทุกๆ คนที่ได้บริจาค เรื่องที่จะให้แบ่งไปให้สามอย่างนี้ ก็แล้วแต่จะแบ่ง เพราะบางทีก็ แบ่งลำบาก เพราะว่าเงินกีบนั้นน่ะจะใส่ในมูลนิธิหรือในทุนก็ไม่ได้ อาจต้องไปช่วยทหารที่ปฏิบัติการชายแดนได้ เพราะว่าจะได้ไปซื้อข้าวรับประทานได้ เพราะบางทีตำรวจและทหารที่อยู่ตามชายแดน ดังที่เราได้เคยไปเยี่ยมเมื่อคราวที่ไปเชียงใหม่ก็มีความขาดแคลนบางอย่างเหมือนกัน จะต้องช่วย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากที่จะเสียสละตรงข้ามเขาเสียสละทุกอย่าง เขาบาดเจ็บอยู่ที่น่าน ก็เข้าไปถามทุกข์สุขเขา เขาก็เจ็บปวด แต่เขาเมื่อไหร่จะหาย เขาถามหมอว่าเมื่อไหร่จะหาย จะไปฟัดเขาต้องสู้ให้ได้ ก็หมายความว่าจิตใจเขาเข้มแข็ง แต่ว่าบางทีพวกเราทุกคนก็ต้องช่วยเพื่อให้ตำรวจกับทหารทั้งพวกอาสาสมัครที่ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งจริงๆ ตามชายแดนให้ได้รับความสะดวก ในเวลานี้ก็ได้ทราบข่าวอยู่แล้วว่า ทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ก็มีผู้ที่คิดร้ายต่อเรา และว่าในเมืองลาวถูกบุก ก็เป็นทางที่จะทำให้กระทบกระเทือนต่อบ้านเมืองไทยเราก็ได้เหมือนกัน จึงได้ว่าว่าทุกคนก็จะต้องช่วยกันป้องกันประเทศชาติ อย่างนี้ก็ได้ช่วยเจ้าหน้าที่ให้เขามีกำลังใจ ให้เขามีกำลังอาหาร มีข้าวบริโภค แต่ว่าที่จะช่วยได้มากที่สุดก็อย่างที่เคยบอกอยู่แล้วว่าให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนให้ดี ให้ทุกคนพยายามคิดให้ดีให้รอบคอบและให้ปฏิบัติงานของตน ในเวลานี้ก็ต้องศึกษาให้เห็นว่าบ้านเมืองมีผู้ที่ศึกษา คือมีหมู่นักศึกษาที่มีความคิดเฉียบแหลม มีความคิดที่เด็ดขาด และมีความคิดที่ซื่อตรง ข้อสำคัญที่สุด คือความคิดที่เฉียบแหลม ขอให้มีกำลังใจกำลังกายปฏิบัติหน้าที่แท้ๆ ของท่านทุกคนทั้งนักศึกษา ทั้งอาจารย์ ให้เป็นประโยชน์แก่บ้านเมือง ขอขอบใจทุกคน.”อ่านต่อ
Identifier (URI) |
https://lib.su.ac.th/royal-voices/resource/1dfb9d4d-585d-4ce5-a02b-b96bbe6db26c |
Title |
พระบรมราโชวาท ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทรงดนตรีเป็นการส่วนพระองค์ ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พุทธศักราช 2513 |
Subject |
|
Description |
|
Contributor |
หอสมุดพระราชวังสนามจันทร์, ชุดหนังสือประมวลพระบรมราโชวาทและพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พุทธศักราช 2493 - 2548 |
Publisher |
|
Creator |
|
Date |
1970-03-07 |
Source |
|
Language |
th-TH |
Coverage |
|
Rights |
|
Relation |
|
Type |
Sound |
Format |
audio/mpeg |
Export |