พระราชดำรัส พระราชทานแก่ผู้แทนมูลนิธิทั่วราชอาณาจักร ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พุทธศักราช 2512



“หลักการสำคัญคือต้องร่วมกันทำงานเพื่อชาติ นี่เป็นหลักสำคัญสำหรับทุกคนใน ประเทศไทย ที่จะต้องร่วมกันสร้างความมั่นคงของส่วนรวมด้วยความขะมักเขม้น ด้วยความ ตั้งใจ และด้วยความเสียสละเพื่อส่วนรวม หลักการอื่น ๆ ที่มีอยู่อีก เช่นการที่ทางราชการ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย มีนโยบายที่จะช่วยทะนุบำรุงบ้านเมืองให้เจริญ ให้มีความ เป็นปึกแผ่น ก็นับว่าเป็นหลักการสำคัญของสันนิบาตมูลนิธิเหมือนกัน ฉะนั้น การที่ผู้แทน ของมูลนิธิต่าง ๆ ในประเทศไทยได้มาร่วมประชุมในการสัมมนาคราวนี้ นับว่าได้ทำตาม จุดประสงค์ เชื่อว่าด้วยความร่วมแรงกันแลกเปลี่ยนความคิด คงจะพบวิธีที่จะปฏิบัติต่อไปได้ จึงไม่ต้องพูดถึงหลักการหรือหลักประจำใจอีก ความจริงมีหลักอีกอย่างหนึ่ง ที่อาจไม่ทันได้นึกกั...นว่ามีความสำคัญ คือทุกคน ต่างมีความปรารถนาที่จะช่วยส่วนรวม สิ่งนี้เป็นความรู้สึกในจิตใจ จะเป็นใครอยู่ที่ไหน ก็ตามจิตใจนี้มีอยู่ แต่อาจมองไม่เห็นค้นไม่พบ เริ่มแรกอาจพบปะพูดจากับเพื่อนฝูงสอง สามคนว่ามีอุดมคติที่จะช่วยส่วนรวมอย่างไร เมื่อนำความคิดนั้นมาถกเถียงกันและปรึกษา หารือกัน ก็อาจก่อตั้งขึ้นเป็นกิจการ และในที่สุดก็อาจตั้งเป็นมูลนิธิเพื่อช่วยส่วนรวม จึงมีมูลนิธิก่อตั้งขึ้นในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เป็นสิ่งที่เสียหายเลย เพราะว่าการ ที่มีมูลนิธิก่อตั้งขึ้นมาเพื่อประโยชน์ส่วนรวมนั้นเป็นการแสดงออกซึ่งจิตใจอันดีของผู้หวังดีต่อ ประเทศชาติ แต่ความสำคัญนั้นอยู่ที่ว่า เมื่อมีการก่อตั้งมูลนิธิขึ้นมาเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีการสัมพันธ์กันพอ ก็อาจทำงานซ้ำกัน จึงเป็นที่น่ายินดีที่มีสันนิบาตมูลนิธิเกิดขึ้น เพื่อที่จะร่วมแรงกันสร้างชาติ สร้างครามก้าวหน้าความเป็นปึกแผ่นของประชาชน มีข้อเสียอยู่ที่ว่า แต่ละคนที่ตั้งมูลนิธิแล้ว ต่างก็มีความคิดของตัว ถ้ามาตั้งเป็นมูลนิธิแห่งชาติหรือมูลนิธิใหญ่ แต่ละคนก็จะเท่ากับถูกกลืนเข้าไปในก้อนใหญ่ ซึ่งตนไม่ปรารถนา เพราะบุคคลหรือคนเรา ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแสดงความคิดความเห็นของตน ๆ เอง แต่การที่มีสันนิบาตมูลนิธิเกิดขึ้น ก็เป็นเหตุส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้พลังจิตของแต่ละคนได้มารวมกับพลังจิตของคนอื่น เพื่อสร้าง ความเจริญมั่นคงตามจุดประสงค์ เพียงแต่ว่าต่างก็ย่อมต้องเสียสละบ้าง เพราะว่าจะต้อง ทำความคิดของแต่ละคนที่ไม่ถูกไม่ตรงกันให้ราบรื่นก่อน ไม่อย่างนั้นก็จะอยู่ด้วยกันไม่ได้ โดยหลักข้อนี้จึงเป็นอันว่ามูลนิธิที่มาอยู่ในสันนิบาต ต้องมีจุดประสงค์อย่างเดียวกันด้วยความ บริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อเข้ามาเป็นก้อนใหญ่กลุ่มใหญ่ ก็ต้องมีการแบ่งออกไปอีก เพราะว่าการทำงานตามจุดประสงค์ของมูลนิธิแต่ละมูลนิธิมีความแตกต่างกัน เมื่อเข้ามาเป็นก้อนแล้ว เราจึงต้องแบ่งออกไปอีกที่ว่าเป็นที่สาขา กี่ประเภท มีจุดประสงค์กี่อย่าง มูลนิธิในเมืองไทยแบ่งไปได้เป็นหลายอย่าง ส่วนใหญ่ ๆ ก็มีมูลนิธิที่จะช่วย ประชาราษฎรให้มีความปลอดภัยในทางภัยธรรมชาติ ได้แก่พวกที่ไปช่วยในด้านที่ว่า ถ้าใคร ถูกเบียดเบียนทางภัยธรรมชาติก็ต้องช่วยเขา ต่อไปก็มีมูลนิธิจำพวกที่จะช่วยให้ก้าวหน้ากว่า “ตามยถากรรม” ได้แก่มูลนิธิที่ช่วยในด้านการศึกษา “ตามยถากรรม” ก็ได้แก่พวกที่ถูก เบียดเบียนในทางธรรมชาติให้มีความพิการในร่างกาย ในจิตใจ เราต้องช่วยพวกนี้เพื่อที่จะ ให้สามารถสร้างพลังของตัวในทางที่จะเป็นอยู่อย่างคนธรรมดาได้ดีขึ้นและมากขึ้น แล้วยังมี มูลนิธิที่จะช่วยในด้านความเป็นอยู่ ในด้านอนามัย ต่อไปก็มีมูลนิธิที่จะส่งเสริมให้ประชาชน อยู่ดีกินดี มีความเป็นอยู่ดีในด้านวัตถุในด้านอาชีพ เข้าใจว่าจะแบ่งจุดประสงค์ต่าง ๆ ของ มูลนิธิได้เป็นหลายอย่างเช่นนี้ มูลนิธิต่าง ๆ อย่างที่ว่าไว้แต่ตอนต้นว่าตั้งขึ้นโดยที่เพื่อนฝูงหรือผู้ที่มีอุดมคติคล้าย ๆ กันมารวมกันก่อตั้งขึ้นมานั้น แต่ละมูลนิธิอาจมีจุดประสงค์อันคาบเส้นระหว่างจุดประสงค์ ที่มาแยกตอนหลัง จึงมีความลำบากเหมือนกันว่าจะทำอย่างไรสันนิบาตมูลนิธิจึงจะสามารถ รวมเข้ามาเป็นกลุ่มใหญ่ได้ แล้วแบ่งออกไปเป็นสาขา ๆ ได้อีกที นี่เป็นปัญหาที่เข้าใจว่าทาง สันนิบาตก็คงต้องถกเถียงกัน ในด้านจุดประสงค์ ที่ทางราชการอยากให้มีสันนิบาตมูลนิธิ ก็คงเป็นเพราะว่าปกครองได้ง่ายขึ้น โดยมากทางราชการก็มีหน้าที่ที่จะทำนุบำรุงประชาชน เมื่อประชาชนเองมาก่อตั้งมูลนิธิสำหรับช่วยกันเอง ก็นับว่าได้ร่วมมืออย่างดีกับราชการ แต่การร่วมมืออย่างดีกับราชการ ถ้าไม่มีระเบียบเรียบร้อยก็จะเกิดความรุงรังความลำบาก เพราะว่าลงท้ายจะมาขัดขวางกันเองโดยไม่ตั้งใจ จะทำให้เกิดความลำบากในการปกครอง ทางกระทรวงมหาดไทยจึงส่งเสริมให้มีสันนิบาตมูลนิธิขึ้น ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่จะมีมาก็คือ มูลนิธิอื่น ๆ ที่มีจุดประสงค์คล้ายคลึงกันแต่ไม่ สามารถจะมาเข้าในมูลนิธิในสันนิบาตมูลนิธิได้คงจะต้องมี จึงต้องถือว่างานที่ท่านทั้งหลาย ทำนั้นยังไม่ครบถ้วน เพียงแต่ว่าครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่ทำได้ อีกประการหนึ่ง บางที่การ ที่มาอยู่เป็นกลุ่มใหญ่อาจทำให้เกิดความยุ่งยาก และอาจเป็นการไม่ส่งเสริมให้แต่ละคนได้ แสดงฝีมือได้เต็มที่ เช่นเรื่องการหาทุนที่เกิดเป็นปัญหาขึ้นมาแล้ว เข้าใจว่าได้ถกเถียงกันแล้ว ไม่อยากที่จะให้หาทุนโดยสุ่มสี่สุ่มห้า โดยแต่ละมูลนิธิหาทุนทางโน้นที่ทางนี้ที่จนกระทั่ง ผู้ที่บริจาคเอือมระอาและไม่สามารถที่จะบริจาค หรือถ้าบริจาคลงท้ายก็ต้องกลายเป็นต้องไป กู้เงินของคนอื่น ทำให้เกิดความเดือดร้อนจนมูลนิธิอื่นหรือกองทุนอื่นต้องมาช่วยมาประชาสงเคราะห์อีกที เรื่องการหาทุนนี้แหละที่เป็นปัญหาใหญ่ คือว่าถ้าจะทำโครงการที่จะหาทุน เป็นส่วนรวม แต่ละกลุ่มก็ไม่เกิดพลังจิตที่จะปฏิบัติงานของตัว เพราะว่าแต่ละกลุ่ม ๆ จะทำ เพื่อทะเลใหญ่ ก็ออกจะไม่ค่อยมีกำลังใจ อันนี้เป็นข้อคิดที่ไม่ใช่แนวทาง แต่เป็นข้อคิด ที่เป็นแนวปลื้มใจ และก็รู้ว่าในสมองของทุกคนที่อยู่ที่นี่ รวมทั้งผู้ที่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิ คงมีปัญหาเหมือนกันเรื่องใครจะหาเงินให้ใคร เรื่องที่เป็นปัญหาเข้าใจว่าแก้ไขได้ จึงจะไม่แก้ไขให้ เพราะว่าถ้าแก้ไขให้เดี๋ยวจะหาว่าสั่งให้ทำโน่นทำนี่ซึ่งไม่ประชาธิปไตย ถ้าถือว่าตั้งเป็นสันนิบาตแล้วรวมกลุ่มกันแล้ว แต่ละคนก็มีความคิดที่ดี แต่ละคนก็มีปฏิภาณที่ดี มีกันหลายหัวก็ย่อมดีกว่าที่จะรับคำสั่ง จากแห่งเดียว สำคัญที่ต้องพยายามหาวิธีที่จะปรองดองกัน เชื่อว่าวิธีปรองดองนั้นจะดี นอกจากนั้นก็จะเป็นตัวอย่างสำหรับผู้อื่นซึ่งเป็นข้าราชการหรือผู้อื่นที่จะได้รับส่วนช่วยเหลือจากมูลนิธิต่าง ๆ ด้วย คือเมื่อเห็นความปึกแผ่นของบุคคลที่เรียกว่าเป็นบุคคลชั้นนำในประเทศไทยมีความคิดดี ก็อุ่นใจและรู้สึกว่าอนาคตจะแจ่มใส แม้จะเดี๋ยวนี้เรายังอยู่ในระยะที่มืดมน แต่ว่าต่อไป ด้วยความร่วมมือของทุกคน ก็จะเป็นอันหวังได้ว่าเราจะมีอนาคตที่ดี งานของสันนิบาตมูลนิธิอันนี้รู้สึกว่าจะสำคัญที่สุด เป็นการพิสูจน์ว่าเอกชนในเมืองไทยสามารถ ที่จะทำอะไรบ้าง เป็นการแสดงว่าประชาชนแต่ละคนมีอำนาจในทางที่ดี เมื่อประชาชนมีอำนาจในทางที่ดีด้วยการปฏิบัติด้วยความเข้มแข็ง การปกครองในบ้านเมืองเราก็เชื่อว่าจะไปได้ดี และเมื่อการปกครองเป็นไปได้ดี ก็เชื่อได้ว่าบ้านเมืองจะอยู่มั่นคงและก้าวหน้า ประชาชน มีความสุขสบายตามที่จะสามารถทำผู้ที่มีความคิดตามหลักนี้ จะว่ามีความคิดที่จะเรียกว่าประชาธิปไตยก็ไม่ใช่ มีความคิดที่ว่าเป็นเผด็จการหรือเป็นคอมมิวนิสต์หรือเป็นอะไรก็ตามก็ไม่ใช่ วิธีที่จะปกครองประเทศด้วยการถือเอามูลนิธิเป็นสำคัญ เป็นอนาธิปไตย “อนาธิปไตย” นี้ก็คงไม่ค่อยได้ยิน แต่คงได้ยินชื่อเป็นภาษาฝรั่งว่า “อนาคิสต์” “อนาคิสต์” แปลว่าไม่มีอำนาจอธิปไตยอะไรมาปกครอง แต่ว่าอนาคิสต์แบบนี้เป็นอนาคิสต์แบบแท้ คือว่าแต่ละคนปกครองตนเองโดยที่มารวมกลุ่มกันเป็นมูลนิธิ ถ้าเราทำอย่างนี้ได้ประเทศชาติจะอยู่ได้ เพราะว่าไม่ต้องบ่นว่ารัฐบาลท่านไม่ดี ไม่ต้องบ่นว่าผู้แทนท่านไม่ดี ไม่ต้องบ่นว่า กรมกองต่าง ๆ ไม่ทำหน้าที่ เพราะว่าแต่ละคนทำหน้าที่แล้ว ประเทศชาติก็เดิน ก็ขอฝาก ความคิดอันนี้เป็นประการสุดท้าย.”,อ่านต่อ



จำนวนการเข้าชม :  100 ครั้ง

พระสุรเสียงที่มีเนื้อหาคล้ายกัน